posttoday

มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา วิถีสโลว์ไลฟ์ในแบบฉบับของผม

04 กุมภาพันธ์ 2561

หนุ่มรุ่นใหม่มากความสามารถวัย 34 ปี แมน-มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา รั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท สนุกไร้ขีด

โดย ภาดนุ

หนุ่มรุ่นใหม่มากความสามารถวัย 34 ปี แมน-มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา รั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท สนุกไร้ขีด ซึ่งเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ รับครีเอทงานสปอตโฆษณา รวมทั้งเป็นคอนเทนต์ โปรโมเตอร์ รับคิด สร้างสรรค์ วางแผนโปรโมทละครและรายการทีวี เป็นหนุ่มนักบริหารที่อีกพาร์ตหนึ่งของชีวิตเขาก็มีวิถีสโลว์ไลฟ์เท่ๆ ในแบบฉบับของตัวเอง

“แม้ผมจะทำงานอยู่ในเมืองกรุงซะส่วนใหญ่ แถมเปิดบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์มาเป็นปีที่ 6 แล้ว แต่ด้วยความที่ 2 ปีแรกที่เปิดบริษัท ผมยังทำงานประจำโดยเป็นโปรดิวเซอร์ส่วนกลางในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในช่วงแรกผมจึงจ้างเพื่อนให้มาบริหารงานในบริษัทให้ก่อน จากนั้นในช่วง 4 ปีหลังผมจึงเริ่มเข้ามาบริหารงานด้วยตัวเอง

ถ้าพูดถึงการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ หลายคนมักจะคิดไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและช้าๆ ไม่รีบร้อนมากนัก แต่สำหรับผมแล้วคิดว่า แนวทางการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ของผม คือการใช้ชีวิตไปตามเป้าหมายแบบมี ไลฟ์แมป (Life Map) เมื่อเรามีไลฟ์แมปเราก็จะสามารถควบคุมชีวิตเราเองได้ ทั้งในเรื่องของเวลาส่วนตัวและการทำงาน ดังนั้นสโลว์ไลฟ์สำหรับผมจึงไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบช้าๆ แต่เป็นการแบ่งสัดส่วนของเวลาใน 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ออกเป็น 8 : 8 : 8 ใน 1 วัน โดยผมจะมีเวลาสำหรับใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างน้อย 8 ชั่วโมง/วัน ที่เหลือเป็นการพักผ่อน 8 ชั่วโมง และใช้ชีวิตในการทำงานอีก 8 ชั่วโมง โดยอาจจะมีการยืดหยุ่นตามสถานการณ์หรือเรื่องสำคัญในแต่ละวัน แต่อย่างน้อยใน 1 วัน จะต้องมี 3 ช่วงเวลาที่ผมได้แบ่งไว้ตามที่กล่าวไปแล้ว”

มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา วิถีสโลว์ไลฟ์ในแบบฉบับของผม

แมน บอกว่า เวลา 8 ชั่วโมง ในช่วงสโลว์ไลฟ์ เขาจะทำกิจกรรมที่ตัวเองรักและชอบ เช่น การอ่านหนังสือประเภท Know How หรือเรื่องความสำเร็จของผู้นำต่างๆ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นวิธีลัดที่คนเขียนหนังสือค้นพบ แล้วต้องการจะมาแชร์ให้คนอ่านนำไปปรับใช้ต่อได้

“กิจกรรมอีกอย่างที่ผมชอบก็คือการถ่ายภาพ วันไหนที่รู้สึกว่าอยากถ่ายภาพ ผมก็จะออกไปตามสถานที่ต่างๆ หรือบางครั้งก็เซตสตูดิโอจำลองขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพสิ่งของที่บ้านตัวเอง เป็นต้น นอกจากนี้ผมยังอ่านหนังสือและศึกษาในเรื่องการทำฟาร์มด้วย เพราะในอนาคตคิดไว้ว่าอยากจะกลับไปทำฟาร์มที่บ้านเกิดซึ่งอยู่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ด้วยเช่นกัน

ความที่ผมเข้ามาเรียนชั้นมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ต่อด้วยเรียนมหาวิทยาลัย พอจบก็ทำงานต่อเลย จึงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนเมืองไปเลยละ แม้ตอนนี้ผมมีหน้าที่บริหารงานที่บริษัทตัวเอง แต่เมื่อน้องสาวเรียนจบ ผมก็อาจจะให้น้องสาวเข้ามาช่วยบริหารด้วย ส่วนผมยังคงช่วยดูแลบริหารอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าทำฟาร์มผมก็อาจจะไปอยู่ที่นั่นสัก 2-3 วัน เพราะผมมีไอเดียไว้ว่า อยากจะทำ ‘ฟาร์มสเตย์’ ขึ้นที่บ้านเกิดตัวเอง”

แมน เสริมว่า ช่วงนี้เขายังได้ศึกษาในเรื่อง ‘ศาสตร์พระราชา’ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งคำว่าพอเพียงนั้นสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทุกกลุ่มได้ค่อนข้างดี แต่คนส่วนใหญ่หรือเกษตรกรมักจะมองไปถึงผลผลิตที่ต้องได้เยอะๆ ไว้ก่อน เลยอาจจะมองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่ใกล้ตัวพวกเขาไป

มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา วิถีสโลว์ไลฟ์ในแบบฉบับของผม

“อย่างผมเองได้มองเห็นถึงผักพื้นบ้านบางอย่างที่บ้านเกิดผม ซึ่งมันกำลังจะหายไป นั่นก็คือ ‘ผักกูด’ ผักชนิดนี้ค่อนข้างจะเซนซิทีฟกับปุ๋ยหรือสารเคมีมากๆ หากเราใส่ปุ๋ยเคมีเยอะเกินไป ผักกูดก็จะไม่ค่อยขึ้น แถมปัจจุบันยังหายไปจากลำธารตามต่างจังหวัดจนแทบไม่ค่อยเหลือ ผมจึงสนใจศึกษาเรื่องผักกูดมาได้ 4-5 ปีแล้ว โดยไปดูแปลงของคนที่ปลูกผักกูดแบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็เลยได้ไอเดียโดยนำผักกูดมาปลูกบนที่ดินของครอบครัวที่ จ.กาญจนบุรี

ที่จริงแล้ว ผักกูดไม่จำเป็นต้องปลูกในพื้นที่ที่ชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลานะ แค่มีดินทรายปนอยู่ในแปลงปลูกเท่านั้น ผักกูดก็จะสามารถขึ้นได้ดีแล้ว แล้วผักกูดยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงส้ม จิ้มกับน้ำพริก ฯลฯ จึงถือว่าเป็นผักที่รสชาติดีและมีประโยชน์ ผมจึงอยากจะนำผักกูดมาเพาะพันธุ์ให้มีมากยิ่งขึ้น พูดง่ายๆ ว่าเริ่มต้นที่ผักกูดก่อน ต่อไปก็อยากจะขยายพันธุ์ผักพื้นบ้านอื่นๆ ตามมาด้วย ปัจจุบันผมปลูกผักกูดไว้ 2 ไร่ โดยพยายามปลูกผักสวนครัวและผลไม้เพิ่มเติมให้มากขึ้น อาทิ ส้มโอ และมัลเบอร์รี่”

แมน บอกว่า ใน 1 เดือน เขาต้องขับรถกลับบ้านที่ จ.กาญจนบุรี 2-3 ครั้ง จึงถือเป็นการไปเยี่ยมเยียนคุณตากับคุณแม่ซึ่งอยู่ที่นั่นบ่อยๆ ด้วย

“สำหรับฟาร์มสเตย์ที่ผมคิดจะเปิดนั้น ตอนนี้ก็เริ่มปลูกต้นไม้และพืชผักต่างๆ ไปเกือบ 60% แล้ว ก็อาจจะเหลือในส่วนของโครงสร้างซึ่งเป็นบ้านหรือเป็นที่พักที่ยังไม่ได้ลงมือสร้างเลย ซึ่งตามแผนที่คิดไว้คือปลายปี 2561 นี้อาจจะปลูกฟาร์มสเตย์สัก 1-2 หลัง ที่สามารถเปิดรับแขกที่มาเที่ยวได้ แต่หากจะให้พร้อมจริงๆ เลย คิดว่าน่าจะรออีก 2 ปี ก็น่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้

มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา วิถีสโลว์ไลฟ์ในแบบฉบับของผม

คอนเซ็ปต์ของโฮมสเตย์ คือ ผมอยากให้คนที่มาพักรู้สึกเหมือนกับว่า ที่นี่เป็นบ้านหลังที่ 2 ของพวกเขา ซึ่งรอบๆ บริเวณที่พักจะมีแปลงผักสวนครัว มีไก่ มีไข่ และอื่นๆ แถมมีอุปกรณ์ทำครัวให้ คนที่มาพักสามารถทำอาหารกินเองได้ แถมพักอาศัยแอบอิงธรรมชาติได้อย่างมีความสุข คือผมอยากให้ครอบครัวที่อยู่ในเมืองได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัด และได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริงบ้าง เพราะรู้สึกว่าเด็กบางคนยังแยกแยะระหว่างใบกะเพรากับใบโหระพาไม่ออกเลย ก็เลยอยากให้พวกเขาได้ไปเรียนรู้ให้รู้จักกับพืชผักสวนครัวอย่างแท้จริง”

แมน บอกว่า เดิมทีเขาสนใจในเรื่องทำฟาร์มและการทำเกษตรมาได้ 4-5 ปีแล้ว แต่ก็ได้ศึกษาเรื่อง “เกษตรพอเพียง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาบ้าง ยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสในเรื่องนี้มาแรง เขาจึงติดตามการจัดอบรมของอาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) รวมทั้งมีโอกาสได้รับเชิญให้ไปร่วมสนทนาในโครงการ “ศาสตร์พระราชา” ด้วย โดยได้ร่วมสนทนากับอาจารย์ยักษ์ และโจน จันใด ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สนใจในเรื่องนี้

“ในช่วงนั้นนอกจากศาสตร์พระราชาที่ผมสนใจแล้ว ผมยังสนใจในเรื่องการปลูกพืชออร์แกนิกด้วย ทำให้ค้นพบว่าคนไทยเราก็เก่งในเรื่องการปลูกผักออร์แกนิก และยังสามารถทำได้ดีไม่แพ้ชาวญี่ปุ่นเช่นกัน และในช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ผมก็ได้ไปเข้าอบรมกับอาจารย์ยักษ์ เพิ่มเติมมาด้วยครับ

ผมว่าความสุขในชีวิตของคนเรา คือ การได้ตื่นขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน โดยส่วนตัวแล้วผมรักในงานครีเอทีฟและงานโปรดักชั่น ฉะนั้นในแต่ละวันที่ได้ตื่นขึ้นมา ได้คิดงาน ได้พรีเซนต์งานให้ลูกค้าดู ก็เหมือนเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตตอนนี้

มณฑล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา วิถีสโลว์ไลฟ์ในแบบฉบับของผม

ส่วนความสุขอีกชั้นหนึ่งหรือในชีวิตบั้นปลายที่คิดไว้ ก็คือ การทำฟาร์ม เพราะการทำฟาร์มถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับผม เพราะเราเองก็เกิดและเติบโตมาจากต่างจังหวัด เรียกว่าเป็นเด็กหลังเขาเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการได้กลับไปสู่ชีวิตที่เรียบง่าย และได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ คือ สิ่งที่ดีที่สุดครับ

นอกจากชีวิตสโลว์ไลฟ์ในแต่ละวันแล้ว ผมยังวางแผนการใช้ชีวิตแบบเวรี่ สโลว์ไลฟ์ 1-2 ครั้ง/ปี ด้วยการไปท่องเที่ยวหาแรงบันดาลใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นระยะเวลา 15-30 วันด้วย หรือไม่ก็อาจจะมุ่งมั่นอยู่กับกายออกกำลังกายสักอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นผมกำลังมีความสุขหรือกำลังสนุกอยู่กับเรื่องใด

สำหรับตัวผมแล้ว ต่อให้ช่วงเวลานั้นอยู่ในโหมดของการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์อยู่ก็ตาม แต่ยังไงซะผมก็มักจะมีเป้าหมายให้กับมันเสมอ เพราะชีวิตของเราทุกคนล้วนขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายในชีวิตที่เราสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง”...ติดตามได้ที่ FB : Man Monton และ IG : manmonton