posttoday

ณัฐพล เสมสุวรรณ พบปาฏิหาริย์แห่งการวิ่ง

24 ธันวาคม 2560

จากอดีตนักมวยเวทีราชดำเนินที่ร่างกายแข็งแรง “แซม-ณัฐพล เสมสุวรรณ”

โดย สมแขก ภาพ Sam's Story

จากอดีตนักมวยเวทีราชดำเนินที่ร่างกายแข็งแรง “แซม-ณัฐพล เสมสุวรรณ” กลับต้องนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงและอยู่ในห้องปลอดเชื้อ จากการรักษาด้วยคีโมมากว่า 30 ครั้งเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี และต้องเจ็บปวดยาวนานกับโรคสตีเว่นส์-จอห์นสัน หรือเรียกว่าอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง ที่โอกาสที่จะเกิดอาการนี้มีเพียง 7 คนใน 1 ล้านคนเท่านั้น สาเหตุจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่มีต่อยาต่างๆ จนเกิดการอักเสบของเยื่อยุผิว ทำให้ร่างกายเขาซูบผอม ผิวไหม้ และคล้ำลงกว่าที่เคยเป็น

แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แซมในวัย 31 ปียอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเพิ่งจะรู้สึกดีกับตัวเองเมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา หลังจากได้รับแรงบันดาลใจเรื่องการวิ่งจากตูน บอดี้สแลม ศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งประเทศในตอนนี้จากโครงการก้าวคนละก้าว หลังจากเจอบทสัมภาษณ์หนึ่งของตูนหลังวิ่งจบ 400 กม. กรุงเทพฯ- บางสะพานก็ทำให้ชีวิตสีเทาๆ ของเขาเริ่มมีแสงสว่างอีกครั้ง

แซมสตอรี่ส์เริ่มที่มะเร็งเม็ดเลือดขาว

ณัฐพล เสมสุวรรณ พบปาฏิหาริย์แห่งการวิ่ง

แซมในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งนักต่อสู้โรคมะเร็งที่ชีวิตเปลี่ยนด้วยการวิ่ง เขาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านผ่านบล็อกส่วนตัวชื่อ Sam’s Story บ่อยครั้งที่แซมต้องเล่าเรื่องเก่าๆ เพื่อบอกเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องราวของเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน แซมย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า จากวัยรุ่นสุขภาพดีชอบเล่นกีฬา จู่ๆ ก็ถูกแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็น “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” หรือ ลูคีเมียชนิดเฉียบพลัน เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

“ผมว่าไม่มีใครจะคิดว่าตัวเองซึ่งมีร่างกายแข็งแรงจะมาป่วยเป็นโรคร้าย ผมชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล บาสเกตบอล ว่ายน้ำ และยังเคยเป็นนักมวยขึ้นชกเวทีราชดำเนินมาแล้ว จนถึงอายุประมาณ 20 ปี ซึ่งขณะนั้นกำลังเรียนอยู่ปี 2 เริ่มมีอาการป่วยเป็นไข้บ่อย จนครั้งหลังสุดป่วยเป็นไข้ติดต่อกันหลายวัน แม่ก็เลยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล และตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว คุณหมอแนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ต้องนอนบนเตียงนาน 2 เดือน โชคดีของผมคือ ผมมีน้องชายที่เสียสละให้ไขกระดูก

จากนั้นคุณหมอเริ่มรักษาด้วยการทำคีโม ต้องทนกับความเจ็บปวด ร้องขอมอร์ฟีนมาเยียวยาเพื่อบรรเทาอาการปวดนับครั้งไม่ถ้วน ผมต้องให้ยาทางหลอดเลือดที่ขาอยู่หลายครั้ง เพราะแขนทุกด้านของผมถูกเจาะจนพรุนเกือบทั้งแขน ผมได้รับคีโมเยอะมากต้องนอนโรงพยาบาลยาวนาน ยาที่ได้รับได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ทีมแพทย์ที่ศิริราชจึงต้องปรับยาอยู่เรื่อยๆ

ตอนที่นอนในโรงพยาบาลนั้น ผมเห็นนกบินมาเกาะหน้าต่าง หลายครั้งที่น้ำตาไหลด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นกมีอิสระในชีวิต แต่ตัวเขาเองกลับถูกกังขังด้วยโรคร้าย แม้แต่จะก้าวเดินก็ยังไม่มีแรง ผลข้างเคียงจากการแพ้คีโม เจ็บปวดทรมานเข้าไปในกระดูก คิดเสมอว่าตัวเขาเองคงไม่ได้ไปต่อ ต่อให้มีชีวิตรอดได้ก็คงไม่มีความสุข มิหนำซ้ำยังทำให้พ่อกับแม่ต้องมาร่วมลำบากไปอีกด้วย” แซมเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเจือความเศร้าอยู่บ้าง

มะเร็งไม่ทันไป  โรคใหม่มา

ณัฐพล เสมสุวรรณ พบปาฏิหาริย์แห่งการวิ่ง

เวลาในการรักษาตัวจากโรคมะเร็งอยู่ปีกว่าๆ แม้จะทุลักทุเลแต่อาการจากมะเร็งก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งให้แซมต้องเจอกับบททดสอบใหม่หลังจากกลับมาเบาใจจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้เพียง 3-4 เดือน แซมต้องกลับไปเป็นผู้ป่วยอีกครั้งด้วยอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอาการที่พบน้อยเรียกได้ว่ามีคนหนึ่งล้านคน จะพบอาการนี้เพียง 7 คนเท่านั้น และโรคนี้เองทำให้แซมซูบผอมลงจากเดิม ผิวหนังไหม้เกรียม ขรุขระ

“โรคแพ้ยาอย่างรุนแรงนี้ส่งผลให้ผิวหนังของผมมีรอยไหม้ ตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ผิวแห้งและบาง เยื่อบุต่างๆ ทั้งหมดในร่างกายบอบบาง และบกพร่อง ในช่องปากไม่สามารถผลิตน้ำลายได้ ส่งผลต่อเรื่องการพูดและการกินอาหารของผม นอกจากนี้ยังทำลายกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นทางร่างกายของผมหายไปหมดผมก็เลยผอมลง ผิวคล้ำ มีรอยไหม้ ผมต้องเจอกับปัญหามากมายในการใช้ชีวิต ทั้งการเจอกับผู้คนในสังคม ช่วงนั้นเดินไปทางไหนก็มีแต่คนกลัว แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ หันมาเห็นก็ยังร้องไห้ ด้วยความที่คนมองว่าเราเหมือนตัวประหลาด ทำให้ผมต้องกลับมานอนร้องไห้ที่บ้าน หลายครั้งที่ผมมีความคิดอยากจบชีวิตตัวเองเหมือนเสียงแว่วที่บอกกับตัวเอง”

พบความสุข ณ จุดที่ยืน

ในขณะที่เขาป่วย แซม บอกว่า มีคนมอบหนังสือ “ความสุข ณ จุดที่ยืน” ของหนุ่มเมืองจันท์ ให้เขาอ่าน เมื่อได้หยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเมียดแล้ว ข้อความในหนังสือก็เหมือนพลังใจที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตนั่นคือ “เราเข้าใจทุกคนบนโลกไม่ได้ แต่เราทำให้เขาเข้าใจเราได้” หลังจากนั้นแซมจึงมีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นและพร้อมจะต่อสู้กับสิ่งที่ตนเผชิญอยู่

“หลายปีที่ผ่านมาก้าวทุกก้าวที่ผมออกจากบ้านมันบั่นทอนความรู้สึกในการอยากมีชีวิตของตัวเองจากคนอื่นที่อาจจะไม่เข้าใจ จนวันหนึ่งเราคิดได้ว่าคนอื่นเขาไม่ผิดที่อาจจะกลัวหรือมองเราอย่างตั้งคำถาม เพราะถ้าเราอยู่ในจุดที่เขามองมา เราก็อาจจะกลัวหรือมีคำถามเหมือนกัน ดังนั้น แผลที่เกิดขึ้นในใจผมไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เป็นตัวผมเองที่นำความไม่เข้าใจเหล่านั้นมาทิ่มแทงตัวเองและสูญสิ้นความเป็นตัวตนของเราจากความคิดคนอื่น เหมือนเอาความสุขไปแขวนกับคนที่ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อของเรา

ณัฐพล เสมสุวรรณ พบปาฏิหาริย์แห่งการวิ่ง

พอคิดได้อย่างนั้น ผมกลับมาทบทวนตัวเอง รวมทั้งความรู้สึกตอนที่รักษาตัวที่โรงพยาบาล และพบว่าตัวเองละเลยครอบครัวที่คอยอุ้มชู และดูแลผมเป็นอย่างดีมาตลอด ดังนั้นผมหันมาใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว ผมมีคุณแม่ที่เดินจูงมือยู่ข้างๆ คุณพ่อซึ่งคอยเป็นห่วงอยู่ข้างหลัง ลูกน้ำน้องสาวซึ่งคอยช่วยเหลือทุกอย่างที่พี่ชายคนนี้ต้องการ และน้องชายผู้ให้ไขกระดูกแก่ผม และเสียสละเพื่อผมอีกมากมาย ผมมีวันนี้ได้เพราะครอบครัว

ในช่วงที่ผมป่วยผมต้องหยุดเรียน แม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าหมอ แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าแม่ต้องลำบากขนาดไหน ผมเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง รู้สึกเคว้งคว้าง เบื่อหน่ายกับโลก ไม่ได้คิดว่าพี่น้องต้องเสียสละอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องร้องไห้มากแค่ไหนกับความเจ็บปวดของตัวเอง พอปรับทิศเข็มทิศแห่งความสุขให้หันหน้ามาหาตัวเองได้แล้ว ทำให้ผมมองเห็นความรักจากคนรอบตัวโดยเฉพาะของคนที่บ้าน” แซมผู้มีหัวใจแข็งแกร่งกล่าว

ชีวิตสีเทาเริ่มสว่างเมื่อเริ่มวิ่ง

แม้แซมจะวางความทุกข์ลงได้ และใช้ชีวิตปกติด้วยการทำงานดูแลครอบครัวอยู่นานปี แต่ก็ยังใช้ชีวิตด้วยความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแรง จนในที่สุดก็มีคนฉุดความคิดที่อยากแข็งแรงมาสู่ชายหนุ่มคนนี้อีกครั้ง นั่นก็คือ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือตูน บอดี้สแลม ที่ให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งหลังจากจบโครงการก้าวคนละก้าว กรุงเทพฯ-บางสะพาน

“เพราะว่าทิ้งช่วงเวลาหลายปีเหมือนกันที่เราใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่แข็งแรง จุดเริ่มต้นของการก้าวออกวิ่งของผม เริ่มจากคำพูดของพี่ตูนที่พูดไว้ว่า อยากให้คนไทยดูแลสุขภาพตัวเอง มันสะกิดใจเราตรงนั้น ตอนแรกก็คิดเหมือนคนอื่นทั่วไปที่เห็นว่า เขาวิ่งเพื่อหาเงินช่วยโรงพยาบาล ผมมองเรื่องเงินเป็นหลักในภาพที่เราเห็น แต่เราไม่เคยสัมผัสความคิดที่เป็นแก่นแท้ของพี่ตูนจริงๆ ว่าเขาออกมาวิ่งเพื่ออะไรนอกเหนือจากเรื่องเงิน เราอยากจะแข็งแรงก็เหมือนบทใหม่ของชีวิตที่พี่ตูนเปิดบท ได้แรงบันดาลใจออกมาก้าว อยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งทั้งกายและใจด้วยการวิ่ง

พี่ตูนวิ่งเพื่อปลุกคนไทยออกมาจากคำว่าเป็นไปไม่ได้ เราทำไม่ได้ นั่นทำให้ผมย้อนคิดถึงการดูแลสุขภาพตัวเอง ที่ผ่านมาผมมักคิดเสมอว่าเราทำไม่ได้ ดูถูกตัวเองและประเมินตัวเองต่ำว่าความเข้มแข็งของใจที่เรามี มันยากเสมอสำหรับก้าวแรก เพราะแค่ 20 เมตร ผมก็เริ่มหอบเหนื่อย หยุดเดินหยุดวิ่งและพาตัวเองกลับบ้าน ผมไม่ใช่คนที่เริ่มจากศูนย์แล้วไปหนึ่ง แต่ผมมาจากชีวิตติดลบ ร่างกายที่เคยอยู่สิบ ถอยไปที่ติดลบ มาจะกลับมาที่ศูนย์ใหม่ก็ยากกว่าคนปกติ เราจำเป็นต้องสู้ผ่านคำว่าเป็นไปไม่ได้ตลอดเวลาในทุกๆ วัน ดังนั้นวันต่อๆ ไปเขาจึงกลับมาวิ่งใหม่เป็น 25 เมตร 30 เมตร และกลายเป็นกิโลเมตรแรกสำเร็จในที่สุด”

ณัฐพล เสมสุวรรณ พบปาฏิหาริย์แห่งการวิ่ง

เมื่อถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้างตั้งแต่เริ่มวิ่ง แซมบอกว่า “เหมือนเป็นชีวิตใหม่อีกครั้งตั้งแต่รักษามะเร็งผ่านมาได้ ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า พี่ตูนเป็นคนเริ่มเปิดบทใหม่ให้ผมและระหว่างทางก็เป็นเรื่องของเราที่จะเขียนให้มันสมบูรณ์สวยงามแค่ไหน ซึ่งมันสวยงามตามความพยายามตามความใส่ใจของเราในแต่ละข้อความ ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ทำให้สนุกมากขึ้น มีเรื่องเล่าให้คนที่ท้อใจเหมือนผมในวันนั้น ได้เห็นว่าคนอย่างเราทำได้ แค่ออกไปลองทำดูเท่านั้นเอง

ก่อนหน้านี้ความคิดในการใช้ชีวิตของแซมยังเทาๆ อยู่ ยังไม่มีแสงสว่าง มันยังไม่รู้ว่าเราทำได้ เรายังไม่กล้าพอที่จะทำมัน เรายังมีความคิดที่ว่าเราป่วยหนัก เราทำไม่ได้ มันยากเกินไป โดยที่เรายังไม่ได้ลองทำ แต่พอได้ฟังพี่ตูนก็ทำให้เรากล้าที่จะออกมาลองทำ ซึ่งผลออกมาก็ปรากฏว่าจริงๆ แล้วเราทำได้ เราแค่ไม่ให้คะแนนความสำคัญกับมันเฉยๆ ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตไปเลย ทั้งที่แค่พลิกซ้ายไปขวาเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าเราเดินทางผิดมาตลอดเวลา

ลงวิ่งในรายการครั้งแรกผมจำได้ไม่เคยลืมเลย ได้ไปวิ่งเพราะความบังเอิญ เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ว่างเลยต้องไปวิ่งแทน เขาลงระยะไว้ 10 กม. ผมวิ่งได้ก็จริงแต่ไม่เคยวิ่งระยะไกลมาก่อน ระหว่างทางที่ผมวิ่งไป ผมคิดจะเลิกเพราะเหนื่อย แต่ผมเจอทางแยกที่เขียนว่า 5 กม. และ 10 กม. แล้วมีลูกศรให้ต้องเลือก ชั่วแวบนั้นผมคิดว่าถ้าวิ่งแค่เพียง 5 กม.เราแค่ได้ทำ แต่หากวิ่งไปทาง 10 กม. นั่นหมายถึงทำได้ และในวันนั้นก็เลือกพิสูจน์ตัวเองในระยะ 10 กม. เป็นชัยชนะครั้งแรกซึ่งชนะใจตัวเองสู้ผ่านมาได้”

กระทั่งวันนี้แซมวิ่งสะสมระยะเดือนละ 100 กิโลเมตร ซึ่งเขามาไกลมากจากวันที่เขาท้อแท้ ไม่คิดจะต่อสู้กับการเอาชนะสุขภาพ ในงาน Thai Health Day Run 2017 แซมได้ร่วมวิ่งกับเหล่าบรรดานักวิ่งนับหมื่นคน เพื่อแสดงให้รู้ว่าสุขภาพแข็งแรงได้แค่คุณก้าวออกมาวิ่งด้วยกัน และเมื่อไม่นานมานี้เขาก็พาตัวเองไปร่วมก้าวกับตูนบอดี้สแลม ในโครงการก้าวคนละก้าว แรงบันดาลใจสำคัญของเขา

“ผมมองว่าเป้าหมายชีวิตของเราทุกคน ล้วนมีร่างกายเป็นส่วนประกอบ เราจะไปถึงเป้าหมายของเราเร็วขึ้น ถ้าร่างกายของเรามีสุขภาพที่ดี เราอย่าคิดว่าเราไม่มีเวลา เราอ่อนแอเกินไป เราทำไม่ได้ ผมมีชีวิตอีกครั้งจากการวิ่ง ผมต้องขอบคุณมะเร็งที่ทำให้ผมได้รู้จักคุณค่าของชีวิต ได้เข้าใจความรักของครอบครัวที่มีให้ผมมาโดยตลอด แม้ว่าวันนี้ร่างกายของผมจะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่หัวใจของผมตอนนี้ดีกว่าผมคนเก่าแน่นอน” แซมทิ้งท้าย