posttoday

สถานีหัวลำโพงนี้มีมนต์ขลัง

16 ธันวาคม 2560

น่าจะพูดได้ว่ามีน้อยคนนักในประเทศไทย ที่จะไม่เคยได้ยินชื่อสถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 2453 ในสมัยรัชกาลที่ 5

โดย กั๊ตจัง

น่าจะพูดได้ว่ามีน้อยคนนักในประเทศไทย ที่จะไม่เคยได้ยินชื่อสถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 2453 ในสมัยรัชกาลที่ 5

อยากขึ้นเหนือล่องใต้ก็ต้องมาขึ้นที่สถานีนี้เท่านั้น ปลายทางของรถไฟฟ้าใต้ดินก็อยู่ที่สถานีหัวลำโพง มีรถไฟวิ่งเข้าออกชานชาลามากกว่า 200 ขบวน/วัน

 จำได้ว่าเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานีรถไฟหัวลำโพงเมื่อ 14 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ที่จะเริ่มระลึกเขียนอีกครั้งก็ยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

 รถไฟก็ใช้แบบเดิมๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนมากนัก นอกเสียจากบรรยากาศเมืองโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความคลาสสิกตัวอาคารสถานีสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะแบบเรอเนสซองซ์ ยังคงมีเสน่ห์มาเนิ่นนานนับร้อยปี และดูเหมือนจะยิ่งมีค่ามากขึ้นทุกวัน

สถานีหัวลำโพงนี้มีมนต์ขลัง

 ประวัติความเป็นมาแต่เดิมของการสร้างทางรถไฟและสถานีหัวลำโพงในยุคเริ่มแรกนั้นก็น่าสนใจ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาทำในช่วงแรกเป็นบริษัทจากอังกฤษ แต่ด้วยการก่อสร้างนั้นล่าช้าไม่เป็นไปตามสัญญา จึงยกเลิกสัญญาและหันมาว่าจ้างบริษัทจากเยอรมนีเข้ามาทำงานแทน

มีผลดีอยู่ 2 อย่าง ก็คือความสามารถของวิศวกรชาวเยอรมันสามารถสำรวจวางแผนเส้นทาง และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟได้ในงบประมาณที่ถูกกว่า และในช่วงเวลานั้นอิทธิพลของฝรั่งเศสและอังกฤษเข้ามายึดครองประเทศเพื่อนบ้านไว้หมดแล้ว หากใช้วิศวกรชาวอังกฤษอาจจะเป็นภัยต่อประเทศได้ในอนาคต

 คาร์ล เบทเก เป็นหัวหน้าก่อสร้างทางรถไฟของสยาม แฮร์มันน์ แกทส์ และหลุยส์ ไวเลอร์ มาเป็นผู้ช่วย จนกระทั่ง เบทเก ได้เสียชีวิต หลุยส์ ไวเลอร์ จึงเข้ามามีบทบาทแทน และได้ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทั้งสายเหนือ สายใต้ และสายตะวันออกจนคืบหน้าไปอย่างมาก

 แต่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือเมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งทื่ 1 ไทยจำต้องประกาศสงครามกับเยอรมนี ทำให้ไวเลอร์ต้องถูกจองจำเช่นเดียวกับชาวเยอรมันคนอื่นๆ ในสยาม จนสุขภาพกายและใจเริ่มย่ำแย่ จึงได้รับการปล่อยตัวเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดแต่เสียชีวิตระหว่างทางเสียก่อน

สถานีหัวลำโพงนี้มีมนต์ขลัง

 ในส่วนของสถาปัตยกรรมก็ได้ มารีโอ ตามัญโญ สถาปนิกชาวอิตาลี เป็นผู้ออกแบบให้ ซึ่งชื่อนี้เราแนะนำว่าควรท่องจำไว้ให้ดี เพราะในบรรดาอาคารเก่าแก่ และวังต่างๆ ในสยามที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนมากเป็นฝีมือชายผู้นี้

 ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งอนันตสมาคม วังปารุสกวัน ท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล และอาคารเก่าแก่อีกหลายแห่ง ล้วนแต่เป็นฝีมือของสถาปนิกผู้นี้ทั้งสิ้น เราจึงสังเกตได้อย่างหนึ่งว่ามีลักษณะบางประการที่ดูคล้ายกัน

 ด้วยความคลาสสิกของตัวสถานี จึงดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวและนักถ่ายภาพมือสมัครเล่นไปจนถึงมืออาชีพ เพราะองค์ประกอบทุกอย่างค่อนข้างเป็นใจกับการถ่ายภาพทั้งสถาปัตยกรรมแสงและเงาที่สาดส่องเข้ามาภายในสถานี จึงกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกหัดถ่ายภาพสถาปัตยกรรม และการถ่ายภาพบุคคลอย่างมาก จัดว่าไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

 นอกจากความสวยงามแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้คนในที่แห่งนี้ ก็คือร้านอาหารอร่อย เช่น ร้านลาภปาก ตั้งอยู่ภายในสถานี บรรยากาศสบายๆ มีเมนูยำปลาดุกฟู สปาเกตตีลาบ ยำชะอมกรอบ ข้าวผัดต้มยำกุ้ง อาหารรสชาติไทยที่ชาวต่างชาติและชาวไทยนิยมมารับประทานที่ร้านแห่งนี้

สถานีหัวลำโพงนี้มีมนต์ขลัง

 หรือจะเลือกเดินออกมาที่ร้านสีมรกต ซอยสุกร 1 ร้านข้าวหมูแดง เก่าแก่กว่า 70 ปี คู่ควรสำหรับคนที่ชอบรับประทานข้าวหมูแดงอย่างเราๆ ท่านๆ หมูแดงเนื้อแน่น หมูกรอบอร่อย ไข่เป็ดยางมะตูม น้ำราดหมูแดงรสชาติกลมกล่อม จัดว่าควรค่าแก่การเดินจากสถานีมารับประทาน

 ปิดท้ายที่ร้าน ข้าวขาหมูตีสาม ขาหมูเนื้อนุ่ม น้ำซึมเข้าเนื้อเข้าหนัง รสชาติกลมกล่อม แต่ออกจากสถานีหัวลำโพงไปไกลสักหน่อย แต่เปิด 24 ชั่วโมง จะมาถึงกรุงเทพฯ กี่โมงกี่ยามร้านนี้ก็เปิดให้บริการตลอด ร้านตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง เดินทางไปรับประทานกันได้ไม่ผิดหวัง 

ใครมีแผนเดินทางด้วยรถไฟที่สถานีหัวลำโพง แนะนำว่าควรจัดเวลาไปรับประทานร้านอร่อยด้วยก็ดี