posttoday

ไลฟ์โค้ชแบบขงจื๊อ เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ

03 ธันวาคม 2560

ขงจื๊อเกิดในช่วงอาณาจักรจีนปั่นป่วนวุ่นวาย เกิดสงครามไม่เว้นวัน ในขณะที่มีผู้ออกมาเสนอแนวทางแก้ปัญหาบ้านเมืองหลากหลาย

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ขงจื๊อเกิดในช่วงอาณาจักรจีนปั่นป่วนวุ่นวาย เกิดสงครามไม่เว้นวัน ในขณะที่มีผู้ออกมาเสนอแนวทางแก้ปัญหาบ้านเมืองหลากหลาย บ้างให้ใช้กฎหมาย บ้างตั้งเป้าพัฒนากองกำลังให้เข้มแข็ง ขงจื๊อก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เป็นแบบฉบับ อำนาจละมุน (Soft Power)

ขงจื๊อเที่ยวนำเสนอแนวคิดต่อผู้นำแคว้นทั้งหลาย หลักคิดของขงจื๊อเกี่ยวข้องกับความกตัญญู ความรักใคร่ปรองดองระหว่างญาติมิตร ความซื่อตรง มารยาท มโนธรรม ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงของความขัดแย้งอย่างรุนแรงในยุคนั้น แนวคิดพวกนี้ไม่เคยดึงดูดใจเท่ายาแรงแบบอำนาจกระด้าง (Hard Power) ที่ได้ผลรวดเร็วทันใช้ดูไปแนวคิดของขงจื๊อก็ใกล้เคียงกับการอบรมบ่มนิสัยมากกว่าการวางรากฐานการเมืองการทหาร

วิถีชีวิตของขงจื๊อจึงร่อนเร่ไปทั่วอาณาจักรในยุคนั้น เพื่อขายไอเดียที่ไม่มีวันถูกผู้นำซื้อ แต่ในทางตรงกันข้ามขงจื๊อกลับเป็นผู้นำความคิดของผู้คน เป็นไลฟ์โค้ชให้กับลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก พร้อมกับแนวคิดสำนักอื่นที่มีหลากหลายมากมายคู่ขนานกันไป

ครั้งหนึ่งที่ขงจื๊อเดินทางจากแคว้นฉู่ กลับสู่แคว้นไช่ ขงจื๊อหาทางไปท่าเรือข้ามฟากไม่เจอ ขงจื๊อจึงอาสาถือเชือกบังคับม้าแล้วให้จื่อลู่ ลูกศิษย์ของขงจื๊อที่ติดตามมาในฐานะสารถีลงไปถามทางจื่อลู่เดินไปถึงริมท้องนา ถามทางจากชาวนาสองคนที่ก้มหน้าก้มตาดำนาอยู่ ที่แท้ทั้งสองคือผู้มีแนวคิดปลีกวิเวกหนีความวุ่นวายจากแผ่นดินที่ปั่นป่วน คนหนึ่งชื่อจางจวี อีกคนชื่อเจี๋ยนี่

จางจวีถาม "คนที่ถือเชือกบังคับม้าอยู่นั่นคือใคร" จื่อลู่ตอบ "คือขงชิว (ชื่อจริงของขงจื๊อ) ครับ" จางจวีถามต่อ "คือข่งชิวแห่งแคว้นหลู่รึ" จื่อลู่ตอบ "ใช่แล้ว" จางจวีจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู้แล้วสิ ว่าจะข้ามฟากได้ที่ไหน"

คำตอบนี้ "ซ่อนนัย" หรือภาษาปัจจุบันเรียกว่า "แซะ" ซึ่งก็คือ "ขงจื๊อของพวกเอ็งคือคนที่พยายามหาหนทางให้กับสังคมที่หลงทิศอยู่มิใช่รึ แต่ดูสิ ตัวเองยังหาทางออกไม่เจอ" หรือไม่ก็ "ขงจื๊อคนนี้มิได้รู้อยู่แล้วรึว่าทางออกอยู่ที่ไหน จะมาถามข้าทำไม...ชิ"

จื่อลู่จึงเจอทางตัน นี่ไม่ใช่เวลาต่อปากต่อคำ คำแซะมีอยู่ทุกแห่งและทุกสมัย ใช้เวลากับมันมากไปมีแต่จะทำให้ไปถึงจุดหมายช้าลง จึงได้แต่หันหน้าไปถามเจี๋ยนี่ เจี๋ยนี่จึงถาม "แล้วท่านล่ะคือใคร" "ข้าคือจื่อลู่" จื่อลู่ตอบ เจี๋ยนี่ถามต่อ "นี่ใช่ศิษย์ของขงชิวแห่งแคว้นหลู่ใช่มั้ย" จื่อลู่ตอบ "ใช่แล้ว" (จะย้ำทำไม?)

เจี๋ยนี่ว่า "แผ่นดินทุกวันนี้เดือดร้อนวุ่นวาย ใครเล่าจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แล้วนี่ยังคิดจะติดตามใครไปเปลี่ยนแปลงโลกนี้อีกหรือ แทนที่จะทำตามขงชิวที่มานั่งปฏิเสธคนเลว มิสู้ทำเหมือนพวกเราที่ปฏิเสธทั้งสังคม" เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็ก้มหน้าก้มตาทำไร่ไถนาต่อไป ไม่หันมาแยแสจื่อลู่อีกเลย

จื่อลู่มิรู้จะทำอย่างไร ทำได้แต่กลับไปรายงานขงจื๊อว่าไม่เจอท่าเรือเจอแต่ท่าแซะ คนหนึ่งแซะอาจารย์อีกคนแซะศิษย์ เมื่อขงจื๊อรู้เรื่องราว ได้แต่ทอดถอนใจ "หากแผ่นดินไร้ซึ่งความเดือดร้อนแล้ว เราจะยังจำเป็นต้องเดินทางไปทั่วหล้าเช่นนี้หรือ" ใช่แล้ว เพราะ แผ่นดินยังวุ่นวาย ถึงต้องออกไปช่วยเหลือ

ปัญหาคือ สิ่งที่ทำไปจะช่วยได้หรือไม่ สำหรับขงจื๊อ คำตอบคือ "ใช่ ช่วยไม่ได้" เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ขงจื๊อ จื่อลู่ และศิษย์ทั้งหลายที่ติดตามเขาไม่เคยคิด จื่อลู่เคยกล่าวไว้ "เรื่องหนทางนี้ที่เป็นไปไม่ได้ ข้ารู้แก่ใจตั้งแต่แรก"

แต่ในเมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ใยยังคิดจะทำอยู่อีกเล่า สำหรับขงจื๊อและลูกศิษย์แล้ว ก็เพราะผู้รู้ผิดถูก ย่อมมีภาระรับผิดชอบ ต้องยืดออกก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อนำเสนอแนวคิดของตน นำเสนอหนทางที่คิดว่าถูกต้อง เพื่อทำหน้าที่ที่ควรทำ ก็เท่านั้นถึงจะไม่มีทางสำเร็จดังใจคิด แต่ก็แค่ยืนหยัดต่อไป

ครั้งหนึ่ง จื่อลู่เข้าเขตเมืองไม่ทัน จำต้องพักค้างคืนที่นอกกำแพงเมือง เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารที่เฝ้าประตูเมืองถามจื่อลู่ "เจ้ามาจากไหน" จื่อลู่ตอบ "ข้ามาจากท่านขงจื๊อ" ทหารที่เฝ้าประตูเมืองว่า "โอ้ คือขงจื๊อที่รู้อยู่ว่าทำไม่ได้ แล้วยังดันทุรังไปทำอีกใช่หรือไม่" จื่อลู่เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้มาถึงประตูเมือง แต่มาถึงท่าแซะอีกแล้ว

ชีวประวัติของขงจื๊อต่างกับผู้นำลัทธิความเชื่ออื่นๆ ก็ตรงที่มีบันทึกเรื่องการถูกแซะไว้มากมาย นั่นเพราะเป้าหมายของขงจื๊อไม่ได้เล็งไปที่ความสำเร็จที่เป็นไปได้ แต่เล็งไปที่สิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกคิดว่าควร แม้เป็นไปไม่ได้ก็ตาม ซึ่งเอาเข้าจริงผู้นำทางความคิดที่อยู่ในประวัติศาสตร์ที่แนวคิดยืนยงข้ามศตวรรษ ก็ไม่เคยมีใครก้าวไปถึงความสำเร็จครบถ้วนตามที่ตั้งเป้าไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และนอกจากขวากหนามระหว่างทาง ย่อมเต็มไปด้วยคำแซะเป็นธรรมดาเหมือนดังสโลแกนโฆษณาที่ว่า ให้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะถ้าพลาดเป้าหมายนั้นก็ยังได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว โดยทิ้งจางจวีและเจี๋ยนี่ไว้ที่ความสำเร็จบนพื้นดิน

จิตใจของคนที่พยายามนำเสนอหนทางที่ถูกต้อง แม้ทำไม่ได้ก็ยังทำคิดจะทำอยู่ จึงเป็นแก่นหนึ่งของจิตใจของขงจื๊อ นี่คือจิตใจที่ควรค่าแก่การยกย่อง ไม่แปลกที่จิตใจแบบนี้มักต้องเจอะเจอคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่จิตใจแบบนี้แหละที่มีคนนับถือเช่นกัน ทหารนางหนึ่งที่รักษาชายแดนเคยกล่าวกับบรรดาศิษย์ของขงจื๊อว่า "ใต้หล้าปั่นป่วนมาเนิ่นนาน ฟ้าจะต้องส่งท่านขงจื๊อลงมาเป็นผู้ส่องทางให้กับปวงประชาโดยแท้"

ขงจื๊อไม่เคยบรรลุสิ่งที่คาดหวังในชั่วชีวิต หรือแม้แต่ความสำเร็จหลังขงจื๊อตายไป ที่แนวคิดขงจื๊อถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของวัฒนธรรมจีนในอีกหลายร้อยปีให้หลัง ก็ยังบิดเบือนจากแนวคิดที่ขงจื๊อตั้งใจไว้แต่นั่นเป็นเรื่องของปัจจัยซับซ้อน ซึ่งคาดเดาไม่ได้ อย่างไรความยิ่งใหญ่ของจิตใจแบบขงจื๊อก็ยังปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี

ขงจื๊อจึงเป็นทั้งผู้นำแนวคิดการปกครองและไลฟ์โค้ชที่แตกต่าง ไลฟ์โค้ชแบบขงจื๊อไม่เคยพูดถึงคำว่าสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ แต่ไลฟ์โค้ชแบบขงจื๊อพูดแต่ คำว่า แม้รู้ว่าไม่สำเร็จ ไม่ได้แก้ปัญหาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ขอยืนหยัดทำต่อไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ควรทำ n