บอดี้สแลม...bodysRUN
ไม่รู้ใครยังจำภาพยนตร์เรื่อง “Forrest Gump” ได้อยู่บ้าง เข้าใจว่าเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 กว่าปีแล้วเห็นจะได้
โดย ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
ไม่รู้ใครยังจำภาพยนตร์เรื่อง “Forrest Gump” ได้อยู่บ้าง เข้าใจว่าเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 กว่าปีแล้วเห็นจะได้
ขอเท้าความถึงเล็กน้อยโดยภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนิยายขายดีของ "วินส์ตัน กรูม" เนื้อหาเกี่ยวกับชายที่ชื่อ “ฟอร์เรสต์ กัมพ์” ซึ่งเป็นผู้มีปัญหาทางสมอง เติบโตมาในช่วงเหตุการณ์สำคัญของโลกหลายเหตุการณ์ เช่น สงครามเวียดนาม สงครามเย็น รวมไปถึงการต่อสู้ในทางการเมืองระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน
ชีวิตวัยเด็กของ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ถูกคนดูแคลนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของสรีระที่เคยเป็นโรคโปลิโอในตอนเด็ก แต่จะด้วยปาฏิหาริย์หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาก็สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ จนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสามัญชนปกติ และก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีของอเมริกาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
ในภาพยนตร์มีหลายช่วงที่เป็นที่น่าจดจำของผม เพราะเต็มไปด้วยวรรคทองชวนให้คิดมากมาย โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “You've got to put the past behind you before you can move on. : คุณต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า”
แต่ความทรงจำของผมที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การออกวิ่งรอบสหรัฐอเมริกา
ในภาพยนตร์ฟอร์เรสต์ กัมพ์ บอกว่า “ไม่รู้ว่าทำไมวันนั้นผมออกไปวิ่ง วิ่งไปสุดถนน แล้วก็คิดว่าน่าจะวิ่งไปให้สุดเมือง แล้วก็วิ่งให้สุดเขตกรีนโบว์ คิดอีกทีวิ่งข้ามรัฐไปเลย ไม่รู้ทำไมผมวิ่งไปเรื่อยๆ..."
การวิ่งของ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ในครั้งนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอเมริกามากมาย
ไม่เพียงเท่านี้ ยังสร้างชื่อให้กับ "ทอม แฮงค์" ที่รับบทเป็นฟอร์เรสต์ กัมพ์ จนสามารถคว้ารางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครอง
ที่อยู่ดีๆ มาพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เพราะผมไปเห็นความยิ่งใหญ่ที่ “พี่ตูน บอดี้สแลม” กำลังจะทำอีกครั้ง ด้วยการออกวิ่งจากภาคใต้สุดของประเทศไทยไปสู่ภาคเหนือสุดของประเทศไทยระยะทางรวมกว่า 2,000 กิโลเมตร
การวิ่งของพี่ตูนไม่ได้เหมือนกับฟอร์เรสต์ กัมพ์ เสียทีเดียว เพราะพี่ตูนออกวิ่งด้วยเหตุผลที่ต้องการระดมทุนให้ได้ 700 ล้านบาท เพื่อมอบให้กับโรงพยาบาล 11 แห่ง แต่สำหรับฟอร์เรสต์ กัมพ์ กลับไม่มีเหตุผลอย่างที่ในภาพยนตร์ได้นำเสนอเอาไว้
“ถ้าการวิ่งของผมจะช่วยบันดาลใจให้คนที่ไม่เคยออกกำลังกาย ได้หันมาออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง เพื่อลดการเจ็บป่วย มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้มากขึ้น ก็จะช่วยลดภาระในโรงพยาบาลได้ด้วย
สิ่งที่หวังคือ ให้ทุกคนช่วยกันทำในสิ่งที่พอจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน หรือดูแลตัวเองก็ดีแล้ว อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ คนเล็กๆ ช่วยกันทำในสิ่งที่เราทำได้ อย่าคิดว่าเงินจำนวนน้อยของเราจะช่วยใครไม่ได้ หากช่วยในสิ่งที่ทำได้ก็จะสมทบให้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้” เป็นคำพูดที่พี่ตูนกล่าวไว้ในรายการเจาะใจ
ก่อนอื่นต้องขอยกย่องพี่ตูนไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะเป็นการสร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่ โดยกุศลที่สร้างนี้ไม่ได้เป็นการสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางวัตถุนิยม แต่เป็นการสร้างวัตถุเพื่อรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
สิ่งที่พี่ตูนลงมือทำนั้น ผมคิดว่าไม่เพียงแต่ต้องการเงินมาช่วยเหลือวงการแพทย์เท่านั้น แต่ในด้านหนึ่งแล้วต้องการใช้ “การวิ่ง” แทนการตะโกนบอกเสียงดังๆ เพื่อให้ใครต่อใครรวมไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเรา ทราบถึงปัญหาการขาดแคลนงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยไปในตัวด้วย
ประเทศไทยมีงบประมาณประเทศที่ผ่านสภาปีละมากกว่าล้านล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับงบประมาณสูงที่สุดในลำดับต้นๆ แต่ทำไมเราถึงได้ยินกันว่า “โรงพยาบาลขาดแคลนงบประมาณ”
นึกแล้วก็ละเหี่ยใจ ถ้าใครเป็นขาประจำที่ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลรัฐบ่อยๆ ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ก็จะทราบดีว่าต้องไปเข้าคิวรอตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
ถ้าโรงพยาบาลทั่วประเทศของเรามีความทันสมัยอย่างเท่าเทียมกันหมด ย่อมทำให้คนที่ขาดแคลนไม่ต้องเสียเงินและเสียเวลาเดินทางมาหาหมอไกลๆ แน่นอน
ตลอด 10 ปีมานี้ ประเทศเราหมดเงินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการทำประชานิยมและซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
บอกแบบนี้ไม่ได้ต้องการต่อต้านประชานิยมหรือการซื้ออาวุธเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือการจัดลำดับความสำคัญของการใช้เงิน
การทำนโยบายประชานิยมเป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้ชาวบ้านได้เข้าถึงโอกาสและเงินทุน การซื้ออาวุธก็จำเป็นเช่นกัน เพื่อรักษาความมั่นคงให้กับประเทศ
แต่ถามว่าถ้ามีเงินอยู่ก้อนหนึ่งควรใช้ไปกับอะไรระหว่าง “การแพทย์-ประชานิยม-ซื้ออาวุธ” ถามคำถามแบบนี้ทุกคนก็คงมีคำตอบอยู่ในใจ
ขอบคุณพี่ตูนอีกครั้งครับ ที่ทำให้คนไทยทุกคนช่วยกันหันมาตระหนักถึงปัญหานี้