posttoday

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิสุรางค์ จินตนาภักดี

24 กันยายน 2560

บี๋-จิสุรางค์ จินตนาภักดี คืออดีตดีไซเนอร์เสื้อผ้า นักสร้างสรรค์แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาก

โดย วราภรณ์ ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี 

บี๋-จิสุรางค์ จินตนาภักดี คืออดีตดีไซเนอร์เสื้อผ้า นักสร้างสรรค์แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาก แต่เมื่อวันที่ต้องการมีทายาทตัวน้อย เธอหยุดทำงานที่สร้างความเครียดและกดดันมาโดยตลอด และหันมาดูแลตัวเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผ่านไป 14 ปีปัจจุบันเธอคือ เจ้าของ GreenGastro Cafe ทองหล่อ 9 ร้านบริการเครื่องดื่มและอาหารคลีนโฮมเมดสุดชิก ตกแต่งโทนสีขาวอันแสนเรียบง่าย ด้านในมีจำหน่ายเสื้อผ้าทอมือ ขนมปังโฮลวีตของกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ ซึ่งการทำคาเฟ่เล็กๆ นี่เองที่ทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตแบบสโลว์ๆ อันแสนสุขได้แบบยั่งยืน

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิสุรางค์ จินตนาภักดี

ความฝันเปิดร้านอาหารคลีน

นอกจากเป็นภรรยาและคุณแม่ของลูกชายวัย 14 ปี ที่เป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง และมีความสุขที่เรียบง่ายแล้ว จิสุรางค์ยังเป็นเจ้าของร้านอาหารคลีน อาหารแนวสุขภาพที่ไม่ใส่ผงชูรส เน้นการนำผักและผลไม้ที่มาจากเกษตรกรท้องถิ่นและเกษตรกรคนเมืองที่สนใจปลูกผักออร์แกนิกที่มีความสุขตามแบบฉบับของตัวเอง

“ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บี๋มีความฝันว่าอยากทำร้านอาหารออร์แกนิก เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เราเห็นพระองค์ตั้งแต่เด็กจนเราเติบโต พระองค์ทรงงานด้านการเกษตรมาโดยตลอด ด้วยการลงมือทำ จนวันหนึ่งบี๋ได้เป็นแม่ ลูกชายแพ้นมวัวมาก บี๋จึงคิดเรื่องสุขภาพ เด็กน่าจะได้กินอาหารปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งคุณแม่ของบี๋ก็เป็นพยาบาลเก่า แม่ดูแลบี๋ตั้งแต่เด็กโดยไม่ทำอาหารใส่ผงชูรสเลย ไม่ให้กินน้ำอัดลมและไม่ดื่มน้ำเย็น ประกอบกับได้รู้จักญาติของเพื่อนที่ปลูกสวนมะม่วงแบบออร์แกนิกทำให้บี๋เริ่มศึกษาวิถีปลูกผักออร์แกนิกด้วยการหาหนังสือมาอ่าน แล้วก็ได้อ่านหนังสือเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 บี๋ยิ่งเกิดแรงบันดาลใจทำอย่างไรให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน แล้วบี๋ก็เลี้ยงลูกในแบบที่ไม่ดื่มน้ำเย็น ไม่กินผงชูรส ซีอิ๊ว น้ำปลาใส่น้อยมาก ในอาหารไม่ใส่น้ำตาลเลย เพราะน้ำตาลเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคร้าย ทำให้เลือดเราเป็นกรด เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เร็วขึ้น แล้วบี๋ก็ได้มีร้านอาหารคลีนของตัวเองเพื่อบริการคนที่มีเจตนารมณ์ของการใช้ชีวิตแบบเดียวกัน”

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิสุรางค์ จินตนาภักดี

มีความสุขกับการใช้ชีวิตให้ช้าลง

ตั้งแต่มีลูกบี๋ใช้ชีวิตแบบช้าๆ มาโดยตลอด จากอดีตเวิร์กกิ้งวูแมนที่ทำงานแบบโปรเฟสชั่นแนล ทุกอย่างต้องรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ นำมาซึ่งความเครียดแบบสะสมโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ทำให้เธอมีลูกช้าในวัย 35 ปีเธอจึงหยุดทุกอย่างเพื่อการเตรียมตัวให้กำเนิดลูกน้อย

“เมื่อก่อนบี๋ทำงานเป็นดีไซเนอร์ ต่อมาทำแบรนด์ของตกแต่งบ้านด้วยการนำผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านมารีแพ็กใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น เพื่อจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำซึ่งประสบความสำเร็จมาก ทำให้ต้องเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเสาะแสวงหาผ้าพื้นเมือง นำมาออกแบบนำมาทำเป็นหมอนขวาง นำเครื่องหอมมาออกแบบหีบห่อใหม่ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นเพอร์ซัลนัลสไตลิสต์ให้คนทั่วไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว เรียกว่าบี๋ทำงานหนัก ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบมาก ดำเนินชีวิตแบบต้องมีตารางเป๊ะๆ พอบี๋มีแพลนมีลูกตอน 35 ปี จากนอนและกินไม่เป็นเวลา วิถีชีวิตทุกอย่างต้องเปลี่ยน ยิ่งพอได้เคยทำงานกับชาวบ้านตามต่างจังหวัดทำให้บี๋ได้เห็นชีวิตแบบช้าๆ ของแท้เลยค่ะ ได้เห็นชีวิตที่แตกต่างระหว่างชาวบ้านกับเรา เขานอนเป็นเวลาสองทุ่มนอนแล้ว ตื่นเช้าตีสี่ตีห้า แต่เรานอนดึกตื่นเช้า บางวันนอนแค่ 5 ชั่วโมง แม้รายได้ดีมากแต่ความเครียดสะสมเยอะมาก เพราะการทำแบรนด์การออกไปตระเวนหาสินค้าเองตามหมู่บ้านต่างๆ การบริหารสินค้าและหน้าร้านเองนำพามาซึ่งความเครียดมากๆ จนถึงวันหนึ่งที่ตัวเองรู้ว่าตั้งท้อง บี๋หยุดทุกอย่าง หยุดผจญกับความเครียดที่มีมา 10 กว่าปี เพราะบี๋อยากให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง”

เธอจึงได้ย้อนกลับมาดูแลตัวเองและอยู่กับตัวเองแบบจริงจัง หยุดทำงานเพื่อลูก เรียกว่าถึงจุดที่ชีวิตต้องเลือก กลายเป็นแม่บ้าน 100% เริ่มใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างจริงจัง หยุดการใช้ชีวิตที่เธอบอกว่าหยุดใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัว ทำแต่เพื่อตัวเองมาทำเพื่อคนอื่นบ้าง พิจารณาสิ่งรอบๆ ตัวมากขึ้น โดยเริ่มเปลี่ยนจากข้างในใจเธอจริงๆ

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิสุรางค์ จินตนาภักดี

“เมื่อก่อนชีวิตการทำงานไม่เคยมีคำว่าไม่ได้ ก่อนหน้านี้บี๋ทำงานเร็วทุกอย่างต้องตรงตามตารางมาก และทุกอย่างต้องทำให้ได้  คนรอบข้างเราต้องเครียดมากแน่ๆ อารมณ์ขึ้นลงเร็วมาก สัญญาณที่บอกว่าบี๋มีความเครียดสะสมคือนอนไม่ค่อยหลับเพราะสมองใช้งานตลอดเวลา” พอหยุดตัวเองเพื่อทุ่มให้กับลูก เธอเริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ใกล้ชิดกับการใช้ชีวิตเกี่ยวกับธรรมชาติและพระพุทธศาสนา ลึกซึ้งกับเกษตรทฤษฎีใหม่มากขึ้น เธอเริ่มหัดปลูกพืชผักสวนครัวก่อน เช่น ถั่วงอกออร์แกนิก แล้วเธอก็ค้นพบว่าชีวิตสุขมากๆ

“บี๋รู้สึกเลยว่าชีวิตไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องตื่นเช้ามาหาอะไรทำ ตื่นเช้ามาก็ได้ชื่นชมกับปลูกพืชผักสวนครัว รดน้ำต้นไม้ ออกไปเดินเล่นตามตลาดนัดสีเขียว ได้สัมผัสชีวิตธรรมชาติ สุขภาพของลูกหลังคลอดจึงดีมากๆ ลูกเป็นเด็กฉลาด ร่าเริง ยิ้มง่าย เรียนรู้ได้เร็ว เพราะตอนท้องฟังเพลงโอเปร่า บีโธเฟน ฟังภาษาจีนด้วย” แต่หลังเธอคลอดลูกตามประสาผู้หญิงที่เคยบ้างาน เธอกลับไปทำงานหลังคลอดลูกได้ 6 เดือน โดยทำงานด้านประชาสัมพันธ์จนเธอรู้สึกว่ากลับไปทนกับภาวะเครียดแบบเก่าๆ ไม่ได้อีกแล้ว เธอจึงหันกลับมาหากิจกรรมทำยามว่าง เช่น สร้างสรรค์เมนูเพื่อสุขภาพใหม่ๆ ให้ลูกและสามีได้รับประทาน รับจัดดอกไม้ เรียกว่าเลือกทำแต่สิ่งที่นำพาความสุขแบบแท้จริงมาสู่ตนเอง และเธอเริ่มเข้มงวดเรื่องสโลว์ไลฟ์ช่วง 3 ปีหลังแบบไต่ระดับเพราะได้คลุกคลีอยู่กับเกษตรกรที่มีชีวิตแบบสีเขียว หรือวิถีเกษตรอินทรีย์ ทำให้เธอเริ่มตระหนักในเรื่องภาวะโลกร้อนมากขึ้น

ช้ชีวิตแบบสีเขียวให้มากที่สุด

ระยะหลังๆ เธอเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวมีแต่สารพิษ อาหารทุกคนใส่ผงชูรสหมด จริงๆ แล้วสโลว์ไลฟ์ในมุมมองของจิสุรางค์ คือ การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ โดยที่เราลงมือทำก่อน เช่น ตระหนักได้ก่อนว่าเราจะทำอย่างไรให้สิ่งแวดล้อมปลอดสารเคมี ปลอดสารพิษ เพราะเราในฐานะมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน

“บี๋คิดว่าถ้าเราไม่ตระหนักถึงสารพิษ เราจะไม่สามารถมีชีวิตช้าๆ ได้ ต้องตระหนักก่อนว่าเรากินใช้อยู่ คุณสร้างมลพิษด้วยหรือไม่ ถ้าเรายังสร้างภาระให้กับธรรมชาติ มันไม่ใช่สโลว์ไลฟ์แล้ว เช่น จะนั่งจิบกาแฟแล้วสูบบุหรี่อันนี้ไม่ใช่ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง เพราะเรายังสร้างมลพิษให้โลกอยู่เลย หรือไม่ใช่การใช้ชีวิตไปวันๆ เราต้องอยู่กับธรรมชาติให้ได้ โดยไม่สร้างมลภาวะ ซึ่งทุกอย่างสามารถเริ่มได้ที่ตัวเอง”

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิสุรางค์ จินตนาภักดี

แม้การทำร้านอาหารที่ต้องเช่าพื้นที่เธอก็ยังมีชีวิตแบบช้าๆ ได้ เพราะเธออยากแบ่งปันสุขภาพที่ดีโดยทำแหล่งกระจายสินค้าพืชผักออร์แกนิกของกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ โดยทุกวันเสาร์และอาทิตย์เธอออกแบบให้หน้าร้านของเธอมีการให้ผู้บริโภคได้พบกับเกษตรกรสีเขียวโดยตรง ทำให้ผู้ที่รักสุขภาพได้กินผักออร์แกนิกในราคาสมเหตุสมผล และการเปิดคลาสเวิร์กช็อปทำผลิตภัณฑ์ เช่น สบู่ออร์แกนิก เป็นต้น

“เรื่องสินค้าในร้านบี๋อยากเอื้อให้คนที่ชื่นชอบการมีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้มาฝากขายสินค้า เช่น เสื้อย้อมครามธรรมชาติที่ปลูกแบบธรรมชาติ สบู่ธรรมชาติ น้ำตาลนำมาจากมะพร้าวที่ปลูกแบบไม่ใส่สารเคมี ขนมปังไม่ใส่สารกันบูด ซึ่งบี๋คิดว่าทุกคนสามารถใช้ชีวิตช้าๆ ได้ตามแบบฉบับของตัวเองแม้ตอนเริ่มต้นจะช้า แต่การทำแบบช้าๆ มันจะยั่งยืนนะคะ แต่ถ้าเราเริ่มคิดและลงมือทำ ค่อยๆ ทำเพื่อให้สำเร็จ วางแผนไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดเป็นความยั่งยืนระยะยาวค่ะ”