posttoday

ซือหม่าเชียน – ความตายบ้างหนักหนา ดั่งขุนเขา บ้างเบาบางดุจขนนก

17 กันยายน 2560

ซือหม่าเชียนเกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ใช้ชีวิตอยู่ช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ ชีวิตซือหม่าเชียนช่วงต้นดูดี

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ซือหม่าเชียนเกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ใช้ชีวิตอยู่ช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ ชีวิตซือหม่าเชียนช่วงต้นดูดี และเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น เขาเกิดในตระกูลนักวิชาการ พ่อของซือหม่าเชียนมีตำแหน่งเป็นขุนนางบันทึกประวัติศาสตร์ และหนูน้อยซือหม่าเชียน ก็รักชอบในประวัติศาสตร์และวรรณกรรม

ในวัย 10 ขวบ ก็มีความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดีและคัมภีร์ต่างๆ อย่างยอดเยี่ยม ซือหม่าเชียนก็ไม่ใช่เด็กเรียนที่นั่งจุ้มปุ๊กในห้องอ่านตำรา เมื่ออายุ 20 เขาก็ออก ท่องโลกกว้างอยู่หลายปี จะว่าไปก็คล้ายเทรนด์ท่องเที่ยวให้รู้จักชีวิตก่อนเข้าสู่วัยทำงานของหนุ่มสาวสมัยนี้

แต่ที่จริงซือหม่าเชียนก็ไม่ได้อิงแนวคิดท่องโลกกว้างแบบนั้น เขาท่องทั่วแผ่นดินไปพร้อมกับบันทึกข้อมูลของแต่ละท้องถิ่น ทั้งด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ เขารู้ตัวว่าเขาสนใจอะไรตั้งแต่ยังหนุ่ม และเขาใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับวิชาชีพที่เขาใฝ่ฝันจะทำตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับหลายคนในยุคนี้ คนแบบนี้น่าอิจฉาอย่างยิ่ง

พออายุ 37 ย่างกลางคน ซือหม่าเชียนก็ได้รับตำแหน่งต่อจากพ่อของเขาตามที่ควรจะเป็น 2 ปี ต่อจากนั้นพ่อเขาก็เสียชีวิต พ่อเขาฝากฝังภารกิจอย่างหนึ่งไว้ นั่นคือการเรียบเรียงบันทึกประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดิน เพราะถ้าไม่นับราชวงศ์ฉินที่บังคับให้บ้านเมืองสงบเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วยนโยบายประเภทเผาประวัติศาสตร์ก๊กอื่นให้เหี้ยน ยุคที่ซือหม่าเชียนมีชีวิตอยู่ก็นับเป็นสมัยแรกที่จีนถูกรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นและสงบนิ่งยาวนาน

พ่อของซือหม่าเชียนรู้ดีว่าประวัติศาสตร์ในแผ่นดิน จีนก่อนหน้านั้นกระจัดกระจายตามแต่ละก๊กแต่ละเหล่าอย่างไม่เป็นระบบ พ่อของเขาจึงคิดถึงภารกิจใหญ่ที่อยากจะทำในชีวิต ซึ่งก็คือบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ แต่ชะตาไม่อำนวย จึงได้แต่ฝากฝังให้ ซือหม่าเชียนสานต่อภารกิจนี้

ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา ซือหม่าเชียนรับด้วยความเต็มใจและเต็มที่ แต่ขณะที่เตรียมสานต่อภารกิจก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด ฮั่นหวู่ตี้สั่งจำคุกและจะประหารซือหม่าเชียน เหตุจากการวางหมากผิดของฮั่นหวู่ตี้ กองทัพฮั่นพ่ายแพ้ต่อกองทัพชนเผ่าซุงหนู ฮั่นหวู่ตี้เสียทั้งกองทัพและเสียหน้าจนต้องหาแพะรับบาป และแม่ทัพหลี่หลิง หนึ่งในแม่ทัพที่โดนทัพซุงหนูจับเป็นเชลยคือแพะตัวนั้น

ซือหม่าเชียนเห็นความไม่เป็นธรรม ออกตัวแก้ต่างให้แม่ทัพหลี่หลิงโดยที่เขาไม่ได้รู้จักแม่ทัพหลี่หลิงเป็นการส่วนตัว การแก้ต่างครั้งนี้สำหรับซือหม่าเชียน คือผดุงความเป็นธรรม แต่สำหรับฮั่นหวู่ตี้คือการ ฉีกหน้า และระบุว่าความผิดพลาดเป็นเพราะการใช้คนของฮั่นหวู่ตี้ การลุกขึ้นผดุงความเป็นธรรมครั้งนั้นจึงลงเอยด้วยโทษจำคุก

เรื่องไปกันใหญ่เมื่อข่าวลือว่าหลี่หลิงสวามิภักดิ์ ซุงหนู ทำให้ฮั่นหวู่ตี้ตัดสินใจผิด สั่งประหารครอบครัวแม่ทัพหลี่หลิง แม่ทัพหลี่หลิงจึงสวามิภักดิ์ซุงหนูเข้าจริงๆ แต่คนที่โชคร้ายที่สุดคือซือหม่าเชียน เพราะการเข้าข้างคนทรยศ = ประหาร

แต่ซือหม่าเชียนยังมีทางเลือก ในยุคนั้นโทษประหารละเว้นได้หากจ่ายด้วยเงินครึ่งล้าน หรือไม่ก็ต้องรับโทษ "ตอน" แทน นักวิชาการเถรตรงอย่างซือหม่าเชียนย่อมไม่มีเงินครึ่งล้าน ซือหม่าเชียนจึงเหลือแค่ 2 ทาง คือ ยอมตาย หรือโดนตอน

ถามใจผู้คนสมัยนี้ คำตอบคงเดาได้ไม่ยากว่าขอรักษาชีวิตไว้ก่อน แต่จากจิตวิญญาณและวัฒนธรรมยุคนั้น การโดนตอนน่าละอายกว่าตายหลายเท่าตัว สำนวนจีนว่าไว้ "ฆ่าได้หยามไม่ได้" การตอนคือการถูกลบหลู่อย่างรุนแรง จากประวัติศาสตร์จีน ใครที่อยู่บนทางแพร่งนี้ แทบร้อยทั้งร้อยยินดีเลือกความตาย

แต่ซือหม่าเชียนเจอทางเลือกที่ยากลำบากกว่านั้น ภารกิจที่พ่อฝากฝังยังไม่สำเร็จ และเพราะภารกิจนี้ต้องพึ่งพาประสบการณ์ ความรู้ และความทุ่มเทของเขาเท่านั้น เขาจำต้องเลือกมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเรียบเรียงบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ให้เสร็จเรียบร้อย

ซือหม่าเชียนจึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยการอยู่ในสถานะแห่งความต้อยต่ำขนาดไหนก็ตาม หลังจากโดนตอน ซือหม่าเชียนยังบากหน้ารับใช้ราชสำนักฮั่นต่อไป ส่วนฮั่นหวู่ตี้ก็ยินดีช่วงใช้ ซือหม่าเชียนอีกครั้งในตำแหน่งใกล้เคียงเดิม แต่เป็นตำแหน่งที่มีแต่ขันทีเท่านั้นที่ทำ ซึ่งยิ่งเพิ่มความอัปยศให้กับซือหม่าเชียน

บางคนคิดว่าเพราะฮั่นหวู่ตี้ต้องการเอาหน้าซือหม่าเชียนมาเป็นบทเรียนให้ขุนนางทุกคนเห็นว่า ไม่ว่าหน้าไหนก็อย่าคิดหือกับพระองค์ ซือหม่าเชียนใช้ชีวิตครึ่งหลังอย่างน่าละอาย ด้วยวิธีคิดของคนยุคนั้น เขาเป็นได้แค่คนพิกลพิการ ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า

แล้วเขาก็ใช้เวลา 15 ปี เรียบเรียงบันทึกประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ปี ก่อนหน้ายุคเขาได้สำเร็จ "บันทึกประวัติศาสตร์" (สื่อจี้) ของซือหม่าเชียน กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ยุคโบราณของจีนที่ทรงคุณค่าที่สุด ด้วยทัศนคติ ฝีมือและความตรงไปตรงมาของซือหม่าเชียน ทำให้ "บันทึกประวัติศาสตร์" ของเขามีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และทางด้านวรรณกรรม

และบันทึกหลายส่วนแม้พูดถึงประวัติศาสตร์ที่เกิดขั้นก่อนหน้าซือหม่าเชียนนับพันปี ก็มีความแม่นยำตรงกับหลักฐานที่ใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งขุดค้นเจอ นักประวัติศาสตร์จีนยกให้ซือหม่าเชียนคือบิดาแห่งประวัติศาสตร์จีน แต่ในช่วงชีวิตของซือหม่าเชียนบันทึกประวัติศาสตร์ของเขากลับต้องถูกซ่อนเร้น เพราะเนื้อหาบันทึกประวัติศาสตร์ของเขากล่าวพาดพิงถึงข้อดีข้อเสียของบรรพบุรุษของราชวงศ์ฮั่น รวมถึงตัวฮั่นหวู่ตี้เองอย่างตรงไปตรงมา จนถึงรุ่นหลานของซือหม่าเชียน ผลงาน "บันทึกประวัติศาสตร์" ของเขาจึงค่อยถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน

อาจเรียกได้ว่าเขาสร้างผลงานชิ้นนี้ โดยไม่ได้มีชีวิตอยู่เสพ Like จากใครเลย อาจจะด้วยเหตุผลทางการเมือง จึงไม่มีใครบันทึกบั้นปลายชีวิตของซือหม่าเชียนไว้ รู้เพียงแต่ว่าชีวิตเขาจมอยู่แต่กับความทุกข์ตรม แต่ที่ทนอยู่ได้ก็เพราะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ จดหมายฉบับท้ายสุดของซือหม่าเชียนที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ พรรณนาความรู้สึกของเขาว่า

"ตัวข้ารับโทษโดนตอน ยังจะเอาหน้าไปพบพ่อแม่ในสุสานได้อย่างไรอีก แม้ผ่านไปร้อยชั่วคน ความน่าละอายก็ยิ่งทับทวี ข้าใช้ชีวิตด้วยความวิตกกังวล สับสนมึนงง เมื่อก้าวออกนอกบ้านก็มิรู้ว่าจะไปสู่ที่หนใดได้บ้าง..."

สำหรับคนผ่านทางเลือกระหว่างตายกับอยู่อย่างอัปยศอย่างซือหม่าเชียน เขารู้ดีว่าบางทีความตายก็ง่ายเกินไป เพราะชีวิตเขามีสิ่งยิ่งใหญ่บางสิ่งที่ต้องทำ แม้ชีวิตต้องจมกับความทุกข์ตรม ซือหม่าเชียนยังเขียนวลีที่หลายคนอาจคุ้นเคยไว้ในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา "คนเรานั้นตายครั้งเดียว (แต่ความตายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน) บ้างหนักหนาดั่งขุนเขา บ้างก็เบาบางดุจขนนก" n