posttoday

ชีวิตไม่ติดทุกข์ สิทรา พรรณสมบูรณ์

10 กันยายน 2560

“แมคโครไบโอติกส์ การกินอาหารและใช้ชีวิตกับธรรมชาติ” เป็นหนังสือเกี่ยวกับแมคโครไบโอติกส์เล่มแรกๆ ในเมืองไทย

โดย วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ : สิทรา พรรณสมบูรณ์

“แมคโครไบโอติกส์ การกินอาหารและใช้ชีวิตกับธรรมชาติ” เป็นหนังสือเกี่ยวกับแมคโครไบโอติกส์เล่มแรกๆ ในเมืองไทยที่ “สิทรา พรรณสมบูรณ์” เขียนขึ้น เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่โชคร้ายป่วยเป็นมะเร็ง แล้วเธอก็ขอบคุณมะเร็งที่ทำให้ชีวิตวันนี้มีคุณค่า หนึ่งในประจักษ์พยานคือหนังสือแมคโครไบโอติกส์ที่เขียนขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน หากทุกวันนี้ยังติดอันดับขายดีตลอดกาล

ชีวิตไม่ติดทุกข์ สิทรา พรรณสมบูรณ์

ถือเป็นหนึ่งในหนังสือยอดนิยมสำหรับการซื้อไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยมะเร็ง หากสิทรามิได้ดีใจที่หนังสือทำยอด แต่ดีใจที่มันอาจมีส่วนช่วยในการให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยมะเร็ง ได้มีทางเลือกและมีหนทางปฏิบัติตัวเรื่องการกินอยู่ เหมือนในอดีตที่ครั้งหนึ่งเธอได้รับโอกาสนั้น

สิทราป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ได้รับการวินิจฉัยให้ตัดเต้านมทิ้ง ตัดไปข้างหนึ่งแล้วแต่ไม่แล้ว เนื่องจากมะเร็งชนิดที่สิทราเป็น มีข้อบ่งชี้ว่าอีกข้างที่เหลือจะมีปัญหาตามมา นัดวันเข้าโปรแกรมรักษาเต้านมอีกข้างต่อไปเลย ขณะรอพักฟื้น ได้อ่านหนังสือเยี่ยมไข้ที่มีผู้หวังดีนำมาให้

 “Recalled by Life” คือหนังสือเล่มนั้น มีผู้แปลเป็นภาษาไทยว่า “ข้าพเจ้าหายป่วยจากมะเร็งได้อย่างไร” เขียนโดย นพ.แอนโธนี่ แซททิลาโร ซึ่งล้มป่วยลงด้วยมะเร็ง มีคนนำหนังสือเกี่ยวกับการกินอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์ไปให้นพ.แอนโธนี่อ่าน นายแพทย์ท่านนี้ประทับใจมาก ปฏิวัติวิถีชีวิตกระทั่งหายป่วย

เรื่องนี้ยังความประทับใจแก่สิทราเช่นกัน เธอคว้าโอกาสนั้นและทำให้มะเร็งหายไปจากชีวิต เมืองไทยสมัยเมื่อ 20 ปีก่อนยังไม่มีใครคุ้นเคยกับคำว่าแพทย์ทางเลือก แต่สิทราก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เลือกทางเดินที่แจ่มกระจ่างอยู่ตรงหน้า

“ดิฉันเป็นมะเร็งเต้านมที่เจอในระยะต้น ทันทีที่ตรวจพบ แพทย์ผู้ทำการรักษาขอให้ผ่าตัดทันทีภายใน 24 ชั่วโมง ตกใจและขาดสติ เมื่อหมอบอกให้ตัดก็ตัด ไม่คิดเลยว่านี่คือร่างกายของเรา”

หนังสือทำให้สิทราฉุกคิดว่า ทำไมเราไม่ทำบ้าง ทำไมไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ในเมื่อร่างกายนี้ก็ของเรา หรือจะเดินเข้าออกโรงพยาบาลนี้ต่อไป ด้วยความเศร้าเคร่งเครียดและสับสนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ จิตตก หดหู่ ชีวิตมีความหมายแค่การรอคอยว่าหมอจะพูดอะไร

“นี่คือชีวิตของเรามิใช่หรือ ทำไมให้หมอมาตัดสินใจ การผ่าตัดเต้านมทำให้เราแย่ เราไม่เอาอีก ตัดสินใจเด็ดขาด จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิต ทันทีที่ตัดสินใจ ก็หนีหมอออกจากโรงพยาบาลมาเลย”

แน่วแน่เพราะเชื่อมั่นในแนวทางธรรมชาติ สิทราไม่เสียเวลาหรือลังเล เธอใช้เวลาไตร่ตรองไม่นานแค่ 2-3 วัน โดยวันที่ออกจากโรงพยาบาลไม่ได้บอกหรือปรึกษาแพทย์ประจำตัวแม้แต่คำเดียว รวมทั้งไม่ติดต่อกลับไปอีก  ครั้งเดียวก็ไม่ ถือว่าเลือกแล้ว

“โชคดีที่คนใกล้ตัวก็สนับสนุน สมาชิกในครอบครัวทุกคนเคารพในการตัดสินใจของดิฉัน เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าครอบครัวไม่เข้าใจ การตัดสินใจต้องยากกว่านี้”

ชีวิตไม่ติดทุกข์ สิทรา พรรณสมบูรณ์

ความกล้าในการตัดสินใจ อาจได้มาจากบิดา อบ วสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอดีตประธานสภาหอการค้าไทย สิทราเล่าว่า บิดาเข้มงวด เป็นคนจริงและเด็ดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้ได้มาจากท่าน

สิทราเรียนบัญชีตามความต้องการของบิดา เพื่อจะได้เป็นกำลังช่วยธุรกิจของครอบครัว แม้ไม่ชอบแต่ก็เรียนได้ จบแล้วบินไปเรียนต่อด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ทำงาน แต่งงาน มีความสุข

สมัยสาวใช้ชีวิตเต็มที่โลดแล่นอยู่ในวงสังคม เป็นนักจัดปาร์ตี้คนหนึ่ง ที่ชอบนัดเพื่อนฝูงมาเฮฮา ออกกำลังกายเต็มที่ กินอาหารเต็มที่ กินทุกอย่างที่อยากกิน กินทุกอย่างที่อร่อย ชีวิตเดินทางมากระทั่งถึงจุดเปลี่ยนในวันที่รู้ว่ามีเนื้อร้ายในทรวงอก

ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตมากินอยู่ง่ายๆ ศึกษาเรื่องอาหารแมคโครไบโอติกส์ ขณะนั้นเมืองไทยมีความรู้ด้านนี้จำกัด สิทราสั่งซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้จากต่างประเทศทั้งหมด แม้กระทั่งเดินทางไปอังกฤษ เพื่อเรียนรู้เรื่องแมคโครโบโอติกส์ที่นั่น ประทับใจมากและคิดว่าต้องทำให้ได้ ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ให้ได้

“ยิ่งศึกษาก็ยิ่งพบว่าธรรมชาตินี้มหัศจรรย์ และตัวเราเองนี้มีพลังความสามารถที่จะรักษาตนเองได้ หากตั้งใจทำจริง ดิฉันตกลงใจเลิกทำงาน หันมาให้เวลาแก่ตนเองให้มากขึ้น

”การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากครอบครัวก่อน สิทราชักชวนสามีให้ออกไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด เมื่อแรกแต่งงานได้ซื้อที่ดินเก็บไว้ผืนหนึ่ง พื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ปัจจุบันคือบ้านน้ำสวย เขาใหญ่ ได้ปลูกบ้านและใช้ชีวิตใน “วิถีโบราณ” หมายถึง กินอยู่ตามธรรมชาติ เหมือนคนรุ่นเก่าๆ

หลักการที่สำคัญของแมคโครไบโอติกส์ ก็คือการกินและการใช้ชีวิตให้สมดุลกับธรรมชาติ อาหารกินอยู่ง่ายๆ ไม่ปนเปื้อนไม่ปรุงแต่ง ควรทำอาหารกินเอง เลี่ยงการซื้ออาหารสำเร็จรูป ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงทุกรายละเอียดของชีวิต สิทรา
ย้ำว่า ให้ฟังร่างกาย Listen to your body

“เสียงที่จะบอกเราในทุกวันว่าสิ่งที่เราทำนั้น ส่งผลอย่างไร รู้สาเหตุแก้ที่สาเหตุ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คุณป่วย บางคนออกแดดแล้วปวดหัว บางคนได้กลิ่นบางอย่างแล้วคลื่นไส้ อะไรก็ตาม คุณต้องฟังเขา เขาจะบอกคุณเองว่าคุณต้องทำหรือไม่ทำอะไร”

แรกใช้วิธีจด สิทราจดทุกอย่าง เรียนรู้ร่างกายตัวเองว่าเหมาะกับอะไรไม่เหมาะกับอะไร ยังมีช่วงเวลา เช่น กินอะไรเป็นอย่างแรก กินแล้วท้องเสียไหม กินแล้วอึดอัดไหม ในที่สุดก็จะรู้ไปเองว่า สมดุลของตนนั้นอยู่จุดใด รวมทั้งที่ก็จะรู้ตามมาว่า สิ่งที่เคยรู้ สิ่งที่เคยใช่ สิ่งที่เคยสมดุล ในที่สุดก็จะไม่เป็นอย่างนั้น

“ตัวเราและทุกอย่างรอบตัวเราล้วนเป็นอนิจจัง มันไม่คงที่แน่นอนหรอก มันไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอก มันจะเปลี่ยน ความสมดุลในร่างกายของเราจากอย่างหนึ่ง เปลี่ยนสู่อีกอย่างหนึ่ง คุณมีหน้าที่ฟังว่าเขาจะบอกอะไรคุณ”

ไม่มีสูตรที่ตายตัว เหมือนกับที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้แต่ต้น สิทรามิได้แนะนำใคร เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน การเจ็บไข้ก็ไม่เหมือนกัน อย่าเพิ่งคิดไปว่าเป็นมะเร็งแล้วหันมากินแมคโครไบโอติกส์แล้วจะหายเหมือนกันหมด หากแต่ให้ลองอ่านดูแล้วพิจารณาว่าน่าเชื่อได้หรือไม่ ถ้าสงสัยก็ลองทำดูกับตัวเอง

สิ่งงที่สำคัญยิ่งกว่าอาหารในความคิดของสิทราคือธรรมะ รักษาร่างกายและรักษาจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ก่อนรู้จักธรรมะแบบกระเส็นกระสาย ต่อเมื่อมะเร็งมาทักทาย จึงได้ศึกษาอย่างจริงจัง ไปปฏิบัติธรรมตามแนวทางของโกแองก้า  กับอาจารย์ John Coleman และ พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร รวมทั้งที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมโกแองก้า

ชีวิตไม่ติดทุกข์ สิทรา พรรณสมบูรณ์

การปฏิบัติธรรมยังทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน ศิลปินนักแสดงและผู้กำกับคนดัง ซึ่งไปร่วมปฏิบัติธรรมและเป็นสายธรรมด้วยกัน วันหนึ่งได้มีโอกาสทำอาหารแมคโคไบโอติกส์ให้ภัทราวดีลองชิม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคือฟักทองย่าง ผักป่า

กลัวว่าจะไม่มีรสที่สุด แต่กลายเป็นว่าภัทราวดีตื่นเต้นและเอร็ดอร่อยกับอาหารธรรมชาติธรรมดาๆ นี้มาก ถึงขั้นยุยงให้สิทราเขียนหนังสือแนะนำคนอื่นเสียด้วย นำมาซึ่งหนังสือเล่มแรกในชีวิต ซึ่งถึงวันนี้พิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 23 แล้ว ขณะที่เล่ม 2-3-4 ก็ทยอยตามมา รวมทั้งอีกหลายเล่มในแนวเดียวกัน

“คุณเคยคิดหรือไม่ว่า เราทุกคนเกิดมาเพื่อจะตาย การป่วยครั้งนี้ทำให้ดิฉันมองโลกเปลี่ยนไป เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้”

มองเห็นทุกข์ มองเห็นความตายที่มาใกล้ ทำใจและอยู่กับมันอย่างไม่ทุกข์ มันก็แค่นี้ ชีวิตที่เหลือสิสำคัญกว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณภาพ จึงขอบคุณมะเร็ง โรคร้ายที่ใครๆ กลัว แต่ทำให้สิทราได้เปลี่ยนชีวิต ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่มีประโยชน์ ได้สัมผัสกับชีวิตที่มีคุณภาพ

“ถ้าไม่มีมะเร็งในตัว คงไม่ได้เห็นโลกอีกซีกหนึ่งที่ไม่เคยเห็น โลกอีกซีกหนึ่งที่เราตาบอดมาตลอด ขอย้ำเรื่องให้ฟังเสียงของร่างกาย ควรกินอาหารทำเอง เลี่ยงการซื้ออาหารสำเร็จรูปปรุงแต่ง มีวินัย ออกกำลังกายพอเหมาะพอควรแต่สม่ำเสมอ มีจิตใจดีงามผ่องใส คิดดีทำดีแล้วจะดีเอง”