posttoday

กะเทยไทยในสายตาจีน หัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก

10 กันยายน 2560

เมื่อชาวจีนถามถึงเมืองไทย แทบไม่มีใครไม่ถามถึงกะเทย

โดย นิธิพันธ์ วิประวิทย์ 

เมื่อชาวจีนถามถึงเมืองไทย แทบไม่มีใครไม่ถามถึงกะเทย

จะไม่ถามได้อย่างไร ในเมื่อข้อมูลภาษาจีนที่อธิบายถึงกะเทยไทย ประหนึ่งพล็อตหนังไซไฟ เขย่าขวัญ

ที่สำคัญคือ 10 ปีที่แล้วผมเห็นคำอธิบายผิดๆ อย่างไร 10 ปีที่ต่อมาก็เห็นคำอธิบายผิดซ้ำเดิมคงอยู่อย่างนั้น อ่านแล้วได้แต่ "หัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก"

ป๋ายตู้จีนในวันนี้ยังคงอธิบายอย่างที่ผมเคยเห็นในสื่อจีนทั้งหลายมากว่า 10 ปีที่แล้วว่า...

"กะเทยคือกลุ่มชายแปลงเพศที่เลี้ยงชีพด้วยการแสดงโชว์ในธุรกิจท่องเที่ยว รูปร่างเอวบางร่างน้อย ถ้าจะต่างจากผู้หญิงก็ที่พวกเขามีฝ่ามือฝ่าเท้าใหญ่ บ้างยังเป็นชาย บ้างแปลงเพศแล้ว กะเทยทั้งหลายเป็นกะเทยเพราะสภาพสังคมบังคับให้เป็น พวกเธอจึงกลายเป็นเพียงวัตถุ เพื่อให้ผู้คนเชยชมในความสวยงาม สนุกสนาน..."

ดราม่าบังเกิดขึ้นแล้ว...

"ไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเรื่องเพศเฟื่องฟูมาแต่ไหนแต่ไร มีคติเกี่ยวกับสตรีเพศต่างจากจีนมาก ไทยดูถูกความยากจนแต่ไม่ดูถูกอาชีพขายบริการ จึงมีผู้หญิงจำนวนมากเข้าทำงานในสถานบันเทิง และสังคมก็ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามพวกเขาแต่อย่างใด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่น พัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ต่อมาจากนั้นจึงมีธุรกิจขายบริการของพวกรักร่วมเพศ แล้วจึงทำให้เกิดกลุ่มชายที่แปลงเพศเป็นกะเทยในที่สุด"

"เพราะผู้หญิงในธุรกิจสถานบันเทิงทำเงินได้ดี จึงมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ต้องหาเลี้ยงชีพคิดหาวิธีแปลงเพศเป็นผู้หญิง แถมยังมีพวกค้ามนุษย์ที่ทำธุรกิจมืด ลักพาเด็กทั้งหลายไปแปลงเพศเป็นกะเทย กลุ่มกะเทยจึงเกิดขึ้นมาก" !?!?!?!....

"ทศวรรษที่ 20 มีปริมาณกะเทยในประเทศไทยถึง 2 หมื่นคน โดยมีอายุ 14-50 ปี มักอยู่ในแถบพัทยาตามบาร์เหล้าและไนต์คลับ จึงสามารถพบเห็นกะเทยตามแหล่งท่องเที่ยวราตรีในไทยได้อย่างแน่นอน นอกจากมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม พวกเขายังมีความสามารถในการเต้นรำแสดงโชว์อย่างยิ่ง"

จากความละเอียดลออของความเป็นมาสถิติและแหล่งอาศัย เห็นชัดว่ากระทิงไทยได้รับความใส่ใจน้อยกว่ากะเทย

"ในประเทศไทย กะเทยส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน สามารถบอกได้เลยว่าแทบไม่มีลูกชายบ้านคนรวยที่ไหนยอมไปเป็นกะเทย และในประเทศไทยเองจะมีโรงเรียนฝึกอบรมกะเทยโดยเฉพาะ"

เรื่องกะเทยมาจากครอบครัวยากจน คงผสมโรงให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตขันทีจีน ส่วนเรื่องโรงเรียนฝึกอบรม หวังว่าชาวจีนจะไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าโรงเรียนชายล้วนใดในไทยเป็นโรงเรียนฝึกกะเทย

"ปกติจะเริ่มต้นฝึกกันตั้งแต่ 2-3 ขวบ จะฝึกทั้งการแต่งกาย แต่งหน้า ให้ทำงานอดิเรกแบบผู้หญิง ที่สำคัญที่สุดคือจะให้ทานฮอร์โมนเพศหญิง เพื่อยับยั้งการเจริญเติมโตของระบบอวัยวะเพศชาย เสริมให้พัฒนาการเจริญเติบโตไปทางเพศหญิง โดยทั่วไปต้องทานต่อเนื่องเป็นสิบปี หลังจากนั้นอวัยวะที่แสดงความเป็นชายทั้งหลายก็จะลีบเล็ก กล้ามเนื้อลดน้อย ผิวพรรณละเอียดนุ่มนวลขาวผ่อง รูขุมขนเล็ก หน้าอกขยาย มีรูปร่างเป็นหญิง แต่สูงสง่า กลมกลึง และมีราศีกว่าผู้หญิงทั่วไป"

"สาเหตุที่ประเทศไทยมีกะเทยมากนั้นมีหลายองค์กรเคยวิเคราะห์วิจัย แต่มีสาเหตุไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตามน่าจะมาจากศาสนา ภูมิประเทศ การศึกษา และสภาพสังคมที่มีอิสระ"

ฟังดูมีหลักการไม่ใช่น้อย เลยขอดูหน่อยว่าองค์กรทั้งหลายเค้าวิเคราะห์ว่าอย่างไร?

"ด้านศาสนา ไทยนับถือพุทธหินยาน เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เมียนมา กัมพูชา พุทธหินยานนั้นต่างกับพุทธมหายานตรงที่ว่าให้ความสำคัญกับการตื่นรู้เฉพาะแต่ละบุคคล ความเคารพในบุคคลอื่นจึงเป็นจุดเด่นของไทย เราจะเห็นได้ว่ามารยาทคนไทยจะใช้อาการไหว้กับผู้คนทั่วไป ซึ่งเป็นอาการเดียวกับการไหว้พระ"

คนเขียนบทความนี้จึงสรุปว่าชาวไทยเคารพคนทั่วไปเท่ากับเคารพพระ?!?!?

"เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คนไทยจะมีคำถามในใจก่อนว่า ฉันมีสิทธิอะไรหรือไม่ที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ชาวไทยจึงมักไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ดังนั้นการเป็นกะเทยในไทย จึงไม่ถูกดูถูกแต่อย่างใด"

"ด้านภูมิประเทศ ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ชาวไทยจึงเนือย และมีชีวิตสโลว์ไลฟ์ ทำเลตามตำราฮวงจุ้ยอยู่ในตำแหน่ง "คุน" มีความชื้นสูง ซึ่งก็คือมีความเป็น "หยิน" สูง แผ่นดินไทยโอบเข้าหาน้ำ ด้านเหนือเป็นเขา มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยถูกรุกรานจากต่างประเทศมากว่า 270 ปี รูปร่างแผ่นดินประเทศไทยหากเปรียบเป็นร่างกายผู้หญิง ภาคใต้เปรียบเหมือนเรียวขา เมืองหลวงจะอยู่ในตำแหน่งอวัยวะเพศหญิง ทำให้เป็นประเทศที่มีความเป็น "หยิน" มากขึ้นไปอีก อิทธิพลนี้ทำให้ผู้คนสุภาพเรียบร้อย แต่เพศชายมีโอกาสสับสนในเพศได้ เช่นที่บางคนบอกว่ากะเทยเป็นตามธรรมชาติก็เกิดจากสาเหตุนี้"

ฮวงจุ้ยก็มา...

"ด้านการศึกษา ประเทศไทยเน้นจรรยามารยาท เด็กๆ ได้รับการสอนสั่งเรื่องศาสนา และความสุภาพเรียบร้อย โรงเรียนส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ข้างวัด เด็กยืนคุยกับผู้ใหญ่หรือเดินผ่านผู้ใหญ่จะต้องค้อมตัว ผู้ชายพูดเสียงดังจะถูกหาว่าไม่มีมารยาท"

จัดว่ามองไทยในแง่ดีอยู่ไม่น้อย... "แม้กะเทยในไทยจะไม่ได้รับการยอมรับในกระแสสังคมหลัก แต่ก็ไม่ได้ถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด ในโรงเรียนมีนักเรียนกะเทย ในตลาดและร้านค้าก็มีพ่อค้าแม่ค้ากะเทยได้เช่นกัน"

"กะเทยส่วนใหญ่เลือกเส้นทางนี้เพราะมีรายได้ดี มีบ้างที่เป็นเพราะธรรมชาติ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วทุกคนจะพบว่าต้องอดทนต่อความยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจ รายได้ก็ไม่ได้หามาง่ายๆ อย่างที่คิดไว้ กฎหมายระบุว่าพวกเขาเป็นผู้ชาย แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นผู้หญิง หากจะเข้าห้องน้ำ ต้องดูว่าวันนั้นแต่งกายเป็นชายหรือเป็นหญิง แล้วเลือกเข้าตามการแต่งกาย"

"กะเทยมีชีวิตงานแสดงเพียงช่วงสั้นๆ โดยปกติแล้วกะเทยจะมีอายุยืนเพียง 35-40 ปี ช่วงชีวิตก่อน 18 ปีเป็นวัยแห่งการเติบโต พอช่วย 18-25 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะรับงานแสดงต่างๆ สร้างโอกาสให้ตัวเอง พอ 26 ปีขึ้นไปก็เข้าสู่วัยชรา เปรียบได้กับช่วงอายุ 55 ปีของคนทั่วไป ที่พวกเขาอายุสั้นก็เพราะการทานฮอร์โมนเพศหญิงต่อเนื่อง ยิ่งใช้ก็ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณมากเข้า และเมื่อเข้าสู่ช่วงร่วงโรย ความเป็นชายก็จะเริ่มปรากฏชัดขึ้น ผิวหยาบ รูขุมขนใหญ่ เสียงแหบห้าว ฮอร์โมนที่ใช้จะไม่มีผลอีกต่อไป ต้องอยู่กับความทุกข์ทางกายและทางจิตใจต่อไปตลอดชีวิต..."

วัฏจักรและระบบนิเวศของกะเทยไทยจึงช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก...

ฉะนั้นสายตานักท่องเที่ยวจีนที่มุงขอถ่ายรูปกลุ่มนักแสดงโชว์สาวประเภทสองตามแหล่งท่องเที่ยว จึงล้วนแฝงไปด้วยคำอธิบายอย่างบิดเบี้ยวข้างต้น และความบิดเบี้ยวยังกระจายอยู่ในมุมมองจากสื่อจีน

สื่อจีนเสนอเรื่องกะเทยไทยทีไร ก็พยายามเค้นให้เนื้อหาได้อารมณ์ตามข้อมูลพื้นฐานข้างต้น

ไม่แน่ใจว่าคำอธิบายและสถิติข้างต้นมีต้นกำเนิดมาจากไหน แต่น่าแปลกใจที่คำอธิบายนี้ไม่เคยถูกแก้ไข อาจเป็นเพราะมันสนองจินตนาการชาวจีนที่ชื่นชอบให้โลกภายนอกประหลาดพิสดาร คุ้มค่าแก่การท่องเที่ยว หรืออาจเป็นเพราะฝั่งการท่องเที่ยวไทยก็ไม่ได้เสียประโยชน์จากการโปรโมทความพิสดารนี้ หรืออาจเป็นเพราะแค่ไม่มีใครใส่ใจและเดือดร้อนในคำอธิบายผิดๆ แบบที่คนจีนยัดเยียดวลีให้คนไทยแบบ Stereotype เป็นคำว่า "ไม่เป็นไรๆ"

กะเทยไทยในความคิดของชาวจีน จึงยังคงมีชีวิตที่ "หัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก" อยู่อย่างนี้เรื่อยมา n