posttoday

Elle Fashion Week 2017 ปรากฏการณ์ดิจิทัลแฟชั่นวีกครั้งแรกในไทย

15 สิงหาคม 2560

นับเป็นการสร้างความคึกคักให้กับวงการแฟชั่นไทยอีกครั้งหนึ่ง ปลายเดือนนี้กำลังจะเกิดงาน "Elle Fashion Week 2017"

โดย...วราภรณ์

นับเป็นการสร้างความคึกคักให้กับวงการแฟชั่นไทยอีกครั้งหนึ่ง ปลายเดือนนี้กำลังจะเกิดงาน "Elle Fashion Week 2017" ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมรันเวย์ผ่านระบบดิจิทัลพร้อมกันทุกพื้นที่ทั่วไทยและทั่วโลก 5 วันเต็มระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-3 ก.ย.นี้ ณ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ สแควร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

พบโชว์ผลงานคอลเลกชั่นล่าสุดจาก 19 แบรนด์ กับ 15 โชว์ จาก อาทิ อาซาว่า, เอฟเวอรี่เดย์ คาร์มากาเมท, ฟลายนาว, ฮุคส์, คลอเซ็ท, เพนคิลเลอร์, เธียเตอร์, ทูบว์แกลเลอรี่, วทานิกา, วทิต อิทธิ, วิคธีร์รัฐ, แลนด์มี่, Sarran (ศรัณญ) และผลงานของ ดีไซเนอร์คลื่นลูกใหม่ Pitchana, Kanapot Aunsorn และอีก 6 ดีไซเนอร์ที่สนับสนุนโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ Paul Direk, Navy, Q Design and Play, Chat, Jitrakarn และ La Orr เป็นต้น

ตลอด 19 ปี นิตยสารแอล ประเทศไทย นิตยสารหัวนอกสำหรับผู้หญิงที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาเทรนด์แฟชั่น ความงาม และไลฟ์สไตล์ ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย ร่วมยกระดับมาตรฐานแฟชั่นไทยให้เทียบเท่ากับเวทีแฟชั่นโลก จัดแฟชั่นอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ "Elle Fashion Week" เป็นประจำทุกปี ล่าสุดนำเสนอคอลเลกชั่น Fall/Winter 2017 ขึ้นอีกครั้ง ภายในเต็นท์ขาวสุดอลังการสัญลักษณ์ของงานที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี

ในปีนี้ นอกจากโชว์ที่น่าจับตามองของแบรนด์แฟชั่นแถวหน้าของเมืองไทยแล้ว ความพิเศษคือการก้าวสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและทั่วโลกได้ชมรันเวย์พร้อมกันแบบถ่ายทอดสดผ่านทางช่องทางจอแอลอีดีที่ติดตั้งทั่วบริเวณงาน รวมถึงเฟซบุ๊กไลฟ์อีกด้วย

แฟชั่นโชว์สู่โลกยุคดิจิทัล

วัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน "Elle Fashion Week Fall/Winter 2017" เพื่อสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์ไทยได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงานและศักยภาพต่อสาธารณชนในเวทีระดับสากล รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านแฟชั่นของภูมิภาค ก่อนจะต่อยอดไปสู่เวทีระดับโลกในอนาคต

ภูมิจิต พลางกูร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย (นิตยสาร Elle) กล่าวถึงงานครั้งนี้ว่า Elle Fashion Week ให้การสนับสนุนดีไซเนอร์ไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 19 ปี ด้านรูปแบบของงานปีนี้แอลมุ่งไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการติดตั้งจอแอลอีดีความยาวกว่า 30 เมตร ภายนอกเต็นท์ ถ่ายทอดโชว์จากรันเวย์ภายในเต็นท์ให้ผู้คนภายนอกได้ชมทุกคอลเลกชั่นของทุกแบรนด์ไปพร้อมกัน และยังทำการไลฟ์สดเต็มรูปแบบด้วยทีมงานมืออาชีพให้ผู้ที่ชื่นชอบและสนใจในแฟชั่นสามารถติดตามทุกโชว์ผ่านดิจิทัลมีเดียของแอลได้ทุกช่องทาง

"ในส่วนของดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ทีมงานได้ทำการคัดเลือกอย่างเข้มข้น มีทั้งไอคอนดีไซเนอร์ชื่อดังของเมืองไทยและดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพมาประชันโชว์กันอย่างคับคั่ง เชื่อว่าจะสมกับการรอคอยของทุกคนอย่างแน่นอน" ภูมิจิต กล่าว

Elle Fashion Week 2017 ปรากฏการณ์ดิจิทัลแฟชั่นวีกครั้งแรกในไทย

ฟอรั่ม Fashion & Film

อีกหนึ่งความพิเศษของปีนี้คือการจัด Forum ที่เกี่ยวกับ Fashion & Film นำเสนอเรื่องราวของภาพยนตร์และสื่อภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นในแต่ละยุคสมัย เพื่อให้นักเรียน นิสิต และนักศึกษาที่กำลังศึกษาด้านแฟชั่นหรือผู้ที่มีความสนใจในด้านแฟชั่นได้รับชมและสร้างเสริมแรงบันดาลใจในการเรียนรู้และทำงานต่อไป

ประกิตย์ วรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบรรณาธิการ บริษัท โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย กล่าวว่า ฟอรั่มที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เราจะนำเสนอถึงอิทธิพลของฟิล์มที่มีต่อแฟชั่น โดยยกตัวอย่างภาพยนตร์ อาทิ In The Mood for Love หรือภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน เช่น The Royal Tenenbaums จนถึง The Grand Budapest Hotel ที่มีบทบาทในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการแฟชั่นเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ยังมีการร่วมพูดคุยกับผู้คร่ำหวอด ทั้งในวงการภาพยนตร์และแฟชั่น เช่น ก้อง ฤทธิ์ดี Film Critic ชื่อดัง อาทิ พลพัฒน์ อัศวะประภา จากแบรนด์อาซาว่า และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอีกหลายท่าน เป็นต้น

"ภายในงานจะมีการฉายสารคดีที่น่าสนใจใน ฟอรั่มนี้ด้วย เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่มาร่วมงานได้ทราบถึงบทบาทของแฟชั่นที่มีต่อภาพยนตร์ และอิทธิพลของภาพยนตร์ที่มีต่อแฟชั่น ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญต่อวงการแฟชั่นไทยในอนาคต"

คอลเลกชั่นของนักออกแบบ

เพื่อให้สมกับเป็นงานแอลแฟชั่นวีกที่มีมานาน 19 ปี แต่ละดีไซเนอร์แต่ละแบรนด์ไม่มีใครยอมใคร ทำผลงานอย่างสุดฝีมือ อาทิ ฮุคส์ โดย ผักกาด- ประภากาศ อังศุสิงห์ ที่ได้ฤกษ์ดีที่เขาทำแฟชั่นโชว์เพื่อเฉลิมฉลอง 10 ปีของแบรนด์ไปด้วยเลย ซึ่งประภากาศ กลั่นออกมาแล้วว่า เขาอยากโชว์ถวายให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของพวกเราโดยใช้ชื่อธีมว่า เทน ไอยรา คือทุกคนเป็นช้างเผือกของในหลวงได้ เพียงแต่ให้ทุกคนทำความดีและทำตามหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด

"แฟชั่นโชว์เราจะร้อยเล่าเป็นเรื่องราวในหลวงในดวงใจของเราว่าตั้งแต่เราจำความได้ เรามีความคิด มีความรู้ หรือว่ามีภาพจำอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์บ้าง ซึ่งไม่ได้มีสัญลักษณ์หรือว่ามีเรื่องราวอะไรบอกเป็นสิ่งชัดเจน เป็นรูปธรรมว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับในหลวง

ทำไมถึงเป็น เทน ไอยรา ก็คือเรากำลังจะบอกว่าเราทุกคนสามารถเป็นช้างเผือกของพระองค์ได้ ฮุคส์ครบ 10 ปีเราก็อยากจะบอกว่าเราก็เป็นช้างเผือกหนึ่งเชือก คือช้างที่เหมาะสมที่จะอยู่คู่บารมีของกษัตริย์ได้ คือเราตั้งใจทำในสิ่งที่เป็นเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเองในอาชีพของเรา ในส่วนของเราแค่เป็นคนดี ประพฤติดี ดูแลคนที่เรารัก เป็นพลเมืองที่ดี เป็นลูกที่ดีของพ่อได้ และเรื่องสัญลักษณ์ช้างเป็นอะไรที่ผักกาดอยากได้มานานแล้ว"

ประภากาศเล่าถึงธีมของโชว์ โดยในคอลเลกชั่นนี้เสื้อผ้าได้แรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทย เช่น โครงเสื้อของไทยตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน

"ยกตัวอย่างเช่น ในองก์แรก หรือซีนแรก เราจะพูดถึงชีวิตในพระราชวัง คือชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยก่อน เราก็จะพูดถึงวิถีชีวิตการแต่งงานของคนในรั้วในวัง ก็จะนำอินสไปเรชั่นพวกเสื้อชุดไทย แขนหมูแฮม จิตรลดา ทุกอย่าง คือพูดถึงขนบธรรมเนียมความเป็นไทย แต่นำมาเล่าเรื่องตามความเป็นฮุคส์ คือใส่ความสมัยใหม่ ใส่กิมมิกที่ดูน่าสนใจลงไป ในแต่ละพาร์ตแต่ละองก์ก็จะมีเอกลักษณ์ในแต่ละองก์ทั้งหมดจะมี 9-10 องก์ ซึ่งจะปูเรื่องในหลวงตั้งแต่พระองค์ประสูติจนท่านทรงจากไป ก็จะเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งเอาเสื้อผ้าเป็นตัวร้อยเรียง"

Elle Fashion Week 2017 ปรากฏการณ์ดิจิทัลแฟชั่นวีกครั้งแรกในไทย

โชว์นี้ประภากาศตั้งใจจะทำให้ทุกคนเก็บไว้เป็นความทรงจำ

"เราเองในฐานะคนทำเราก็จะเก็บไว้เป็นความทรงจำว่ามันเป็นภาพที่สวยงาม โชว์นี้จะไม่ได้บ่งบอกถึงความเศร้าโศกเสียใจ แต่จะบอกถึงความกตัญญูรู้คุณ และสิ่งสวยงามที่เราเก็บไว้เป็นภาพความทรงจำของเราเท่านั้นเอง คือโชว์นี้สามารถเปิดออกมาแล้วให้คนรุ่นหลังจากนี้ที่เรียนแฟชั่น หรือทำอะไรก็ตามให้มีจิตสำนึกที่รักความเป็นไทย แล้วให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมามันมีที่มาที่ไปแล้วก็มีจุดศูนย์รวมมาจากใคร พระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้กับผักกาดเองและใครอีกหลายๆ คน คือพระองค์เป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นแหล่งรวมทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการได้นำพระองค์มาเป็นอินสไปเรชั่นในงานครั้งนี้ ผักกาดคิดว่าน่าจะเป็นโชว์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ตัวเองเคยทำมา"

ด้าน ทูบว์ แกลลอรี่ บาย ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และพิสิฐ จงนรังสิน โดยศักดิ์สิทธิ์ เปิดเผยว่า ทูบว์ แกลลอรี่ ได้ร่วมงานกับแอลแฟชั่นวีกปีนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งแรกร่วมงานในฐานะยังดีไซเนอร์เมื่อปี 2002 และ 2003 แล้วก็ห่างหายไป และในปี 2017 เป็นการกลับมาอีกครั้งกับคอลเลกชั่น ฟอลล์/วินเทอร์ 2017 ที่จะมาโชว์ในงานใช้ชื่อว่า Portrait of the Lady ได้รับแรงบันดาลใจที่มาจากผลงานของกุสตาฟ คลิมต์ จิตรกรและมัณฑนากรชาวออสเตรียในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 รังสรรค์ออกมาเป็นคอลเลกชั่นทั้ง ผู้หญิงผู้ชาย

"เรานำทั้งลายที่อยู่ในภาพเขียนมา รวมทั้งอารมณ์ของวิธีการใช้สี หรือวิธีการใช้ลายเส้นมาใช้กับตัวเสื้อผ้า บวกกับซีลูเอทเราก็จะเป็นซีลูเอทที่เรียกว่า แมกซิมัม วอลุ่ม คือใหญ่ๆ กระโปรงก็จะเป็นกระโปรงพองมาก คือใหญ่กว่าปกติ ก็จะทำให้บนเวทีน่าสนใจ

โทนสีก็จะมีทั้งสีดำขาว น้ำเงินทอง พวกสีสด ซึ่งจะเป็นสีที่อาร์ติสต์จะใช้อยู่แล้ว จะเป็นพวกสีเหลือง สีชมพู สีม่วง สีพวกนี้จะได้มาจากลายของเพนติ้งพวกดอกไม้ เราก็แกะสีมาหรือบางทีเราก็ไปแกะสีของภาพวาดดอกไม้หลายๆ ภาพมาประกอบกันกลายเป็นเสื้อหนึ่งตัวขึ้นมา โดยที่ดึงลายพรินต์พวกนั้นมาเป็นลายบนเสื้อผ้าของเรา แต่แทนที่เราจะพรินต์เป็นชุดออกมาเลย เราก็พิมพ์เป็นชิ้นๆ แล้วก็เอามาตัดต่อ เพื่อให้ได้ลายเส้นเดียวกับของศิลปิน" ศักดิ์สิทธิ์ กล่าว

นอกจากการเน้นที่สีสัน ทูบว์ฯ ยังแบ่งส่วนหนึ่งโชว์เสื้อผ้าขาวดำ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชด้วย

"นอกจากเสื้อผ้าเราจะขายในประเทศไทยแล้วยังขายในต่างประเทศ อย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่งของงานยังขอเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีของเราคือมีเสื้อผ้าขาวและดำ และผมคิดว่าหลังจากนี้คนไทยน่าจะใส่สีดำขาวไปสักพักหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะหมดพระราชพิธีไปแล้วก็ตาม"

แฟชั่นโชว์ครั้งนี้เป็นการประชันกันมากถึง 19 แบรนด์ ดังนั้นไม่มีใครยอมใครในการสร้างงาน เพื่อที่จะให้แอลแฟชั่นวีก ซึ่งถือเป็นงานแฟชั่นโชว์อมตะของวงการมาถึง 19 ปี เพราะฉะนั้นก็ต้องให้สมกับการกลับมาของทูบว์ฯ อีกครั้ง n