posttoday

'เอ68' สัญญาณเตือนอุณหภูมิโลก?

30 กรกฎาคม 2560

เมื่อช่วงต้น ก.ค.ที่ผ่านมา หลายคนคงได้เห็นข่าวสำคัญข่าวหนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้ที่สนใจด้านสิ่งแวดล้อมตื่นตัวเป็นอย่างมาก

โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน

เมื่อช่วงต้น ก.ค.ที่ผ่านมา หลายคนคงได้เห็นข่าวสำคัญข่าวหนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้ที่สนใจด้านสิ่งแวดล้อมตื่นตัวเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ กรณีที่ดาวเทียมขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า สามารถจับภาพ หนึ่งในแผ่นน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แตกออกจากคาบสมุทรแอนตาร์กติกหรือขั้วโลกใต้

หลังจากแตกแล้ว แผ่นน้ำแข็งดังกล่าว ก็ลอยไปตามทะเลเวดเดลล์  นักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจแอนตาร์กติก ระบุรายละเอียดด้วยว่า แผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมานี้  มีน้ำหนักมากถึงราว 1 ล้านล้านตัน มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า พื้นที่ของกรุงเทพมหานครถึงเกือบ 4 เท่า หรือมีเนื้อที่ประมาณ 5,800 ตารางกิโลเมตร

แน่นอน มันถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในแผ่นน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่าทุกชิ้นที่เคยแตกออกมาจากหิ้งน้ำแข็ง ลาร์เซน ซี ของคาบสมุทรแอนตาร์กติก แต่อันที่จริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งไม่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้นัก เพราะได้จับตา เฝ้าสังเกต แผ่นน้ำแข็งดังกล่าวมาแล้วหลายปี โดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมของสำนักงานอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) และเคยตั้งชื่อแผ่นน้ำแข็งแผ่นนี้ ว่า “เอ68”

ศ.เอเดรียน ลัคแมน จากมหาวิทยาลัยสวอนซี ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบโครงการไมดาส โครงการที่เฝ้าสังเกตการณ์หิ้งน้ำแข็งมานานหลายปี  ออกมาระบุผ่านสื่อหลายสำนักว่า หลังจากเกิดปรากฏการณ์นี้ เป็นเรื่องยากต่อการคาดเดาว่าจะเกิดกระบวนการอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต และมีความเป็นไปได้ที่จะแตกออกเป็นก้อนย่อยๆ อีก แต่แผ่นหลักก็อาจจะยังคงอยู่ในพื้นที่ไปอีกหลายสิบปี ส่วนที่แตกเพิ่มอาจจะลอยไปทางตอนเหนือไปยังเขตน้ำที่อุ่นกว่า

ในเวลาต่อมา มีรายงานด้วยว่า ดาวเทียมสังเกตการณ์เดมอส-วัน ใช้เรดาร์และเซ็นเซอร์ตรวจจับรังสีอินฟราเรดสำรวจพบภาพความเคลื่อนไหวของ เอ68 และรายงานว่า มันเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากริมขอบทวีป ไปสู่ทะเลเวดเดลล์ และเริ่มแยกตัวออกจากขอบทวีป จนเผยให้เห็นน้ำทะเลเบื้องล่างตรงร่องแยกอย่างชัดเจน

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังถกเถียงกัน ว่าแผ่นน้ำแข็งแตกนั้นเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนหรือไม่ แต่บางกลุ่มก็คาดการณ์กันว่า ภาวะโลกร้อนน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเร่งให้อากาศและน้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้น้ำแข็งละลายอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ รวมถึงอาจจะส่งผลต่อชีวิตใต้ทะเลซึ่งในอนาคต อาจมีการค้นพบสัตว์และพืชชนิดพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยสำรวจพบมาก่อนเพราะเป็นพื้นที่ที่ถูกภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ปิดบังไว้

กรณีดังกล่าวนี้เอง สอดคล้องกับที่ ศ.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ว่า กรณีที่น้ำแข็งในจุดต่างๆ ละลายนั้น สร้างข้อกังวลให้กับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ ในแง่ที่ว่า ปรากฏการณ์นี้ อาจจะทำให้ค้นพบเชื้อโรคที่ไม่เคยพบมาก่อนในรอบหลายแสนปี

“พอน้ำแข็งละลาย เชื้อโรคที่เคยถูกแช่แข็งก็มีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับอากาศ นักวิจัยบางกลุ่ม กังวลว่าปรากฏการณ์นี้จะทำให้โรคที่เคยสูญหายไปแล้วกลับมาอุบัติใหม่ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี และสถาบันวิจัยผลกระทบด้านสภาพอากาศพ็อตสดาม หรือพีไอเค จากเยอรมนี เผยแพร่รายงานระบุการคาดการณ์ ว่า เรื่องของความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ในอนาคต ช่วงปี 2573 เอเชียและแปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคอุบัติใหม่ และโรคระบาด” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัตินิด้า กล่าว

รวมถึงสอดคล้องกับที่ รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และรองกรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์หญิงไทยคนแรกผู้ศึกษาวิจัยทางทะเลที่ขั้วโลกใต้ เคยระบุว่า เมื่อโลกมีอุณหภูมิขยับขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่  น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามอย่างช้าๆ สิ่งที่ตามมา ก็คือ เกิดปะการังฟอกขาว ที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ ส่งผลให้ปะการังน้ำตื้น 2 ใน 3 ของแนวปะการังเกรท แบร์ริเออร์ รีฟ ของออสเตรเลีย ที่ยาวถึง 2,300 กิโลเมตรตายลง

นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า ปะการังแถบทะเลจีนใต้ก็กำลังจะประสบชะตากรรมเดียวกัน และเมื่อไม่มีแนวปะการังสัตว์ทะเลที่อาศัยหรือหากินตามแนวปะการัง ก็จะได้รับผลกระทบและลดจำนวนลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้พยาธิเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง จากเดิมที่พบในตัวปลา ขณะนี้สามารถพบได้ที่ภายนอกตัวปลาอีกด้วย  เรื่องนี้เป็นการค้นพบที่ไม่เคยปรากฏหรือเกิดขึ้นมาก่อน

“เอ68” จะต้องถูกจับตาต่อไป เพื่อสังเกตผลกระทบจากการเคลื่อนตัว และไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวกับโลกร้อนหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร แต่สิ่งที่ต้องตระหนักร่วมกัน คือ นี่อาจเป็นคำเตือนว่า โลกกำลังเผชิญหน้ากับเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็เป็นได้