posttoday

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

02 กรกฎาคม 2560

แค่อาการเป็นไข้เล็กๆ กับการปวดหลัง อาการเจ็บป่วยที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าอาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้คือสาเหตุ

โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

แค่อาการเป็นไข้เล็กๆ กับการปวดหลัง อาการเจ็บป่วยที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าอาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้คือสาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งของ เป้-ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ ในช่วงเวลาที่เธออายุ 17 ปี วัยอันสดใสที่เต็มไปด้วยความฝันและอนาคต เธอเป็นมังสวิรัติและมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ห่างไกลสิ่งทำลายสุขภาพทั้งหลายทั้งปวง แต่กลับพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

พบมะเร็งเมื่อเข้าระยะสุดท้าย

“อาการที่เราเป็นครั้งแรก คือ อาการปวดหลัง ปวดหัว เป็นไข้ตอนกลางคืน แต่พอกินยาก็ทุเลาลง เป็นอย่างนี้ทุกคืน ตื่นเช้ามาก็ไปเรียนต่อ ตอนนั้นเป้เรียนอยู่ ม.6 เทอมสุดท้าย ที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จ.นครปฐม เราเองในตอนนั้นก็เป็นเด็กที่มีความอดทน ถ้าไม่ปวดหนักจริงๆ ก็จะไม่ฉีดยา ไม่หาหมอ เป็นอยู่อย่างนี้จนกระทั่งอาการบางอย่างเริ่มออก

“ตอนที่เรากำลังอาบน้ำถูตัว นิ้วก็ไปกดเจอก้อนเนื้อขึ้นมา เป็นก้อนที่กดเจอแล้วแต่ว่าไม่ได้ถึงขนาดนูนปูดขึ้นมา ต้องใช้นิ้วกดลงไปถึงจะเจอ ก็ไปถามคุณแม่ (สุพิชฌาย์ วิวัฒน์ชานนท์) ซึ่งท่านก็เป็นนางพยาบาล แม่บอกว่าจุดที่เรากดเจอตรงช่วงคอคือต่อมน้ำเหลือง อาจเกิดจากการติดเชื้อก็ได้ ปกติแล้วต่อมน้ำเหลืองจะบวมโตหากมีการติดเชื้อขึ้นมา เราก็ไปหาหมอจัดยามารับประทานไป 2 ชุด ก็ไม่หาย

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

“จนอาการอื่นๆ เริ่มตามมา อย่างเช่นตัวเริ่มซีด น้ำหนักลดไป 6 กิโลแค่เดือนเดียว ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเจาะตรวจก็ไม่พบอะไร ตอนนั้นเราเริ่มเปิดกูเกิลหาว่าอาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง แล้วเราก็ไปเจอโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองมา ตอนนั้นเราก็ตกใจมาก เพราะว่าอาการเหมือนกันหมดทุกอย่าง เริ่มทำใจแล้วว่าเราอาจจะเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จึงตัดสินใจให้คุณพ่อคุณแม่พาไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะว่าอาการที่เราเป็นโรคคิดว่าไม่น่าจะเกิดจากการติดเชื้ออย่างแน่นอน

“จึงย้ายจากโรงพยาบาลที่รักษาอยู่ไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะว่าโรงพยาบาลแถวบ้านไม่สามารถตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของเราได้ว่าเป็นอะไร พอไปถึงก็โชคดีได้รักษากับอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญโรคเลือดวิทยา หรือโรคเกี่ยวกับระบบเลือด พอเจอปุ๊บคุณหมอก็จับเจาะเลือด ดูผลเลือดออกมาดูไม่ดีเลย คุณหมอจึงจัดการเร่งรัดการตรวจผลออกมาให้เร็วที่สุด ทั้งการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ เจาะไขสันหลัง และการย้อมสี ผลปรากฏว่าเราเป็นมะเร็งอย่างที่คิดไว้จริงๆ

“เราทำใจไว้แล้วว่าเราอาจจะเป็นมะเร็ง แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็คือเราเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย หลังจากทำซีทีสแกนภายในก็พบว่ามะเร็งได้กระจายไปทั่วตัวตามอวัยวะสำคัญต่างๆ ตรวจเจอก็คือในปอดข้างหนึ่ง 6 cm อีกข้างหนึ่ง 3 cm กระจายไปยังมดลูกแล้วก็รังไข่ ในกระเพาะอาหารก็พบ ในกระดูกสันหลังก็พบ เรียกว่าในร่างกายของเรามีที่ไหนเขาไปได้ก็ไปหมด เพราะว่าต่อมน้ำเหลืองมันมีจุดเชื่อมโยงกับร่างกายอยู่ทั่วตัว มีอยู่ที่เดียวที่มะเร็งต่อมน้ำเหลืองไม่ขึ้น ก็คือ สมอง ความรู้สึกของเราในเวลานั้น คือ ช็อกที่สุดกับการที่เราเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย”

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

โอกาสแค่เปอร์เซ็นต์เดียวก็จะสู้

วันนี้ ปริญลดา บอกกับเราว่า นึกย้อนกลับไปก็อยากจะขอบพระคุณคุณหมอที่ช่วยเร่งรัดการจัดการทุกอย่างให้เสร็จอย่างรวดเร็ว หากเทียบเวลาหลังรู้ผลจนไปถึงขั้นตอนการทำคีโมแทบจะเรียกได้ว่า ตรวจตอนหัวค่ำของคืนวันจันทร์ ก็กลับเข้ามาให้คีโมตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นทันที เธอเคยถามคุณหมออยู่เหมือนกันว่าอาการในระยะของอาการแบบนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน คุณหมอบอกว่าเรื่องของการมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนของคนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นตอบได้ยาก บอกได้แค่ว่าประมาณอีก 2 สัปดาห์ หากไม่เริ่มรักษาอาการจะทรุดหนักลงไปมาก และหลังจากนั้นจะทรุดมากแค่ไหนคุณหมอตอบได้ยาก และสำหรับเธอเทียบกับคนปกติที่เป็นโรคมะเร็งเวลาที่ทราบผลว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งก็จะมีเวลาทำใจอยู่สักระยะหนึ่ง อาจจะกลับบ้านไปร้องไห้ฟูมฟาย ทำใจอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่สำหรับ ปริญลดา เธอมีเวลาอยู่ทำใจไม่ถึง 24 ชม.เสียด้วยซ้ำ มีเปอร์เซ็นต์การรอดอยู่ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

 “เปอร์เซ็นต์การรอดมีแค่ไหนเราไม่รู้ รู้แค่ว่าเปอร์เซ็นต์เดียวเราก็จะลอง ถ้าไม่ลองก็คือเป็นศูนย์ ถ้าไม่สำเร็จก็คือเราพยายามลองแล้ว สู้แล้ว จะไม่เสียใจเลยเพราะเราทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเกิดมันสำเร็จเราก็จะรู้สึกภูมิใจกับการที่เราลุกขึ้นต่อสู้กับโรคมะเร็งในครั้งนี้ เราก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเรา เพราะว่าในชีวิตของเรายังมีสิ่งที่อยากจะทำอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งเรายังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองทำ

“หลังจากนั้นเราก็เริ่มการให้คีโมครั้งแรก จำได้เลยว่าพอให้คีโมเสร็จขอคุณแม่ไปกินเอ็มเคที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เพราะเราจะไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ เพราะการเป็นโรคมะเร็งเราก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว และการที่เราจะซ้ำเติมตัวเองไปทำไม อะไรที่เราทำแล้วมีความสุขเราก็ทำไป คนที่ได้คีโมจะต้องรับประทานอาหารที่สุก และสะอาด ไม่หมักดอง เพราะการให้คีโมจะเป็นตัวกดจำนวนเม็ดเลือดขาวในร่างกายเราให้น้อยลง เมื่อเม็ดเลือดขาวลดน้อยลงก็เท่ากับว่าร่างกายเราพร้อมจะติดเชื้อได้ทุกชนิดในโลกนี้

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

“ดังนั้นเราจะต้องกินอาหารที่สุกและมีประโยชน์ต่อร่างกายจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว ได้หมดขอให้สดสะอาดเป็นพอ บางคนบอกว่าเลี่ยงการรับประทานเนื้อ เราบอกเลยว่ารับประทานได้ เพราะก่อนหน้านี้เราเป็นมังสวิรัตไม่รับประทานเนื้อวัวเนื้อหมู นานๆ จะรับประทานครั้ง ไลฟ์สไตล์ของเราไม่ได้ใกล้เคียงกับความเสี่ยงโรคมะเร็ง แต่เราก็ยังเป็น ดังนั้นกินอะไรได้ก็กินไปเถอะ ขอให้สมดุลก็พอ

“แต่เราก็จะมีอาการทุกอย่างของคนที่ทำคีโม ก็คือ กินไม่ได้ กินแล้วอ้วก ผมร่วง แต่พอเราอ้วกเราก็กินกลับเข้าไปใหม่ กินไข่วันละ 6 ฟอง กินอาหารที่มีโปรตีนให้เยอะๆ เพื่อให้ร่างกายมีแหล่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ถ้าเราสร้างเม็ดเลือดขาวไม่เพียงพอกับการรับคีโมในรอบใหม่ ก็เท่ากับว่าเราลดเปอร์เซ็นต์การรอดของเราเอง ซึ่งรอบการให้คีโมกับร่างกายของเป้เองจะให้ทุก 2 สัปดาห์ ดังนั้นเราจะพยายามทำตามโปรแกรมการรักษาให้เป๊ะมากที่สุด

“ซึ่งในความโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้างว่าการรักษามีการตอบสนองต่อการให้คีโมที่ดี และทุกครั้งที่เราเข้ารับการรักษา เราไม่อยากจะทำตัวเป็นคนป่วย แต่งหน้าจัดเต็มไปหาคุณหมอทุกครั้ง ผมร่วงก็ใส่วิกเปลี่ยนทรงแทบไม่ซ้ำกัน จนแบบคนไข้ที่มารักษาด้วยกันสงสัยว่าเรามาทำไม แต่พอเห็นตอนให้คีโมก็รู้ว่าเราป่วยจริงๆ คุณลุงคุณป้าก็ชมว่าเราไม่เหมือนคนป่วยเลย

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

“หลังๆ เราก็เริ่มเห็นคุณป้าแต่งตัวสวยๆ เข้ามารับการรักษากันมากขึ้น ซึ่งเราจะบอกกับคนป่วยทุกคนเลยว่าเป็นคนป่วยเป็นโรคมะเร็งนี้ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองดูโทรม ถ้าเกิดคุณปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ดูโทรม คนอื่นก็จะว่าเราดูโทรม แต่ถ้าเกิดเราแต่งตัวให้ดูสวยแล้วคนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนป่วยแต่ยังดูสวยอยู่ จะเป็นความภูมิใจกับตัวเราเอง

“เพราะความสุขของผู้หญิงอย่างหนึ่ง ก็คือ การที่เรามองหน้ากระจกแล้ว ตัวเองยังดูสวยดูดี เป็นมะเร็งก็เกิดความทุกข์อยู่แล้ว ถ้าเกิดเราไปจมกับทุกข์ มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนความคิดจริงๆ ว่าเปลี่ยนทัศนคติกับคนป่วย ถ้าคุณคิดว่าคุณแพ้ คุณก็ไม่มีทางชนะ เราคิดแบบนั้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้เรารู้ว่าเราเข้มแข็งมากแค่ไหนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ถึงขนาดเคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่ว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่จริงๆ งานศพเราอยากให้จัดแบบไหน โลงแบบไหน จะใช้รูปไหนใส่กรอบหน้าโลง”

วันนี้ที่ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป

 ปริญลดา เข้ารับการให้คีโมทั้งหมด 16 ครั้ง รวมการรักษาปลีกย่อยอื่นๆ ทั้งหมดอีกประมาณ 24 ครั้ง ซึ่งโชคดีที่ผลการรักษาดีขึ้นทุกครั้ง และทุกครั้งที่มารักษาคุณพ่อคุณแม่ก็คอยให้กำลังใจทุกครั้ง ตอนนี้เธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำงานที่บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต อยู่ได้ระยะหนึ่ง และออกมาเปิดธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ของตัวเอง และเปิดช่องทางให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคนทางเพจเฟซบุ๊ก (Facebook : Parinlada Sriphattarapun) เธอเล่าต่อว่า “จำได้ว่าครั้งสุดท้ายของการให้คีโมครอบครัวเราดีใจกันมากที่ผ่านจุดนั้นมาได้ จุดที่ความใกล้ตายทำให้เรามองปัญหาใหญ่ของคนอื่นเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรามาก ทำให้เรารู้สึกว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถามว่าวันนี้เราหายขาดจากโรคมะเร็งหรือยัง จะบอกว่าหายก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่าอาการสงบจะดีกว่า เพราะเขาอาจจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถามว่าถ้ากลับมาแล้วจะเป็นยังไง ก็ต้องสู้ต่อ ก็แค่นั้นไม่มีอะไรมาก กลับมาก็รักษากันใหม่ ใจที่สู้และกำลังใจที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ตอนที่เรารักษามีคุณลุงคนหนึ่งที่มารักษาพร้อมกัน ฝากข้อความกับพยาบาลถึงเราว่าฝากขอบใจหลานด้วยที่ทำให้ลุงมีเสียงหัวเราะระหว่างการรักษา

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

“ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังใจของคนป่วยเป็นเรื่องสำคัญมาก เราก็ต้องการกำลังใจ คนป่วยเป็นโรคมะเร็งทุกคนต้องการกำลังใจและคำแนะนำ ไม่มีใครจะให้คำแนะนำได้ดีไปกว่าคนที่เคยผ่านการรักษามาแล้ว หลังจากคุณหมอบอกว่าเราหายจากโรคมะเร็งแล้ว จึงรับงานอาสาสมัครให้กับคำปรึกษากับผู้ป่วยโรคมะเร็งว่าเขาจะต้องรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร แต่แน่นอนว่าแต่ละคนล้วนมีภาระที่แตกต่างกัน บางคนมีภาระที่ต้องดูแลไม่อยากจากไปไหน ทำให้เขาเกิดความเครียดและความเครียดก็ยิ่งบั่นทอนกำลังใจ

“มีผู้ป่วยโรคมะเร็งคนหนึ่งติดต่อมาปรึกษาเรา เราก็ถามเขาเลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนจะเดินทางไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจ เราก็ซื้อวัตถุดิบเตรียมไปทำกับข้าวที่บ้านของเขา พูดคุยกันให้กำลังใจกัน ก่อนกลับคุณแม่ของเขาเดินมาขอบคุณที่ทำให้ลูกสาวยิ้มได้ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้นพี่เขาก็เสียชีวิต ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไปเป็นสิ่งดีๆ ที่มีคุณค่าสำหรับใครอีกหลายคน”

“บทเรียนการเป็นมะเร็งในครั้งนี้ เปลี่ยนชีวิตเราไปอย่างสิ้นเชิง มองโลกในมุมใหม่ ทำให้เราเติบโตขึ้นมากกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ทำให้เรารู้ว่าลมหายใจของเรามันมีค่าจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่เรากำลังจะหมดลมหายใจแล้วแต่เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ เราจะรู้สึกว่าทุกๆ ลมหายใจที่หายใจเข้าออกมันมีค่าต่อชีวิตเราเสมอ และเมื่อคุณอยากจะหายใจต่อคุณจะลุกขึ้นมาทำทุกอย่างเพื่อให้คุณได้กลับมาหายใจอีกครั้ง”

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง

ปริญลดา ศรีภัทราพันธุ์ มะเร็งสู้ได้ด้วยใจแกร่ง