posttoday

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

25 มิถุนายน 2560

พูดคุยกับ อดีตนักร้องนักแสดงหนุ่ม ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข กับภาพลักษณ์และความคิดที่เปลี่ยนไป

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ...วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

อดีตนักร้องนักแสดงหนุ่ม ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข ที่เคยโด่งดังเป็นที่รู้จักเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ทว่าขณะที่กำลังดังและมีชื่อเสียงอยู่ขณะนั้น เขากลับหายหน้าหายตาไปจากวงการนานเกือบ 10 ปี แล้วเขาก็กลับมาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้พร้อมกับภาพลักษณ์และความคิดที่เปลี่ยนไป

ตอนที่เขากลับมาใหม่ๆ ก็สร้างความแปลกใจเบาๆ ให้กับคนในวงการและแฟนเพลงของเขากับบทบาทแฮร์สไตลิสต์ในชีวิตจริง ด้วยรูปลักษณ์แบบบอยๆ ที่แต่งตัวจัดในยุคเริ่มแรกของอาชีพช่างทำผม

“ตอนที่หายไป คือ ไปเรียนทำผมที่ประเทศแคนาดา เรียนแบบครบวงจรตั้งแต่เริ่มจนจบ เรียนอยู่ 2 ปี แล้วก็มีร้านทำผมที่นั่นด้วย ที่ไปแคนาดาเพราะแฟนเป็นคนแคนนาดาก็เลยเลือกไปที่นั่น ไปอยู่หลายปี แล้วคุณแม่ป่วยก็เลยต้องกลับมา” เขาเล่าย้อนความให้ฟัง

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

 

“ตอนกลับมาใหม่ๆ ก็มาเป็นช่างทำผมอยู่ที่ร้านเรืองฤทธิ์ อยู่ไม่กี่เดือน ก็ไปเปิดร้านของตัวเองที่ ดิ เอ็มโพเรียม โดยเช่าช่วงต่อมาจากร้านชลาชล ทำอยู่ 2 ปีก็หมดสัญญา ก็มาเปิดร้านของตัวเองชื่อ สุโข ซาลอน ที่เอสพละนาด รัชดา และอีกสาขาแถวมหาวิทยาลัยหอการค้า”

ระเบิดลูกที่ 1

ตลอดเวลาที่เขากลับมาประเทศไทยราวๆ 5-6 ปีมานี้ เขาก็เริ่มปล่อยความเป็นตัวเองออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เขาก็ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาจนถึงขีดสุดในวัย 51 ปี ด้วยการลุกขึ้นมาแต่งสาวไว้ผมยาว แต่งหน้าทาปาก ทาเล็บแดง และใส่ส้นสูง

เขาเล่าว่า ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ โอเค แน่นอนว่าเขารู้ตัวเองมาตลอดว่าเป็นเกย์ แต่ไม่เคยคิดที่จะมาเป็นกะเทย หรือสาวประเภทสอง ไม่เคยคิดว่าจะแต่งสาว ซึ่งเขาเองก็เครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากในตอนแรกๆ

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

 

“แต่มันเหมือนระเบิดเวลาในตัวเราอ่ะ มันร้อนรุ่ม ไม่สบายใจ เก็บกด แบบบอกไม่ถูก คือ มันรอเวลาที่จะแตกโพละออกมา แบบฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ใจสั่น หายใจไม่ออก นอนไม่หลับ หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เห็นอะไรก็ดูเศร้า หดหู่ ร้องไห้ แม้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีเหตุผล ดูละครเขายิงกัน ก็กลัว ร้องไห้ เหมือนผู้หญิงเป็นวัยทองแบบนั้นเลย เป็นอยู่หลายเดือน เราก็เครียดว่าเป็นอะไรไป หรือเป็นวิกฤตวัยกลางคนหรือเปล่าๆ น้องๆ ที่รู้จักเขาถามว่าเรากินฮอร์โมนเพศหญิงแบบพวกยาคุมอะไรแบบนั้นมากไปหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่มีเคยกินฮอร์โมนใดๆ เลย เขาก็งงกัน ที่สุดต้องไปพบแพทย์” เขาเล่าถึงช่วงเวลายากลำบากให้ฟัง

ตอนแรกไปหาหมอทั่วไปก่อน พอเขาเล่าอาการให้หมอฟัง หมอคิดว่าเขาเป็นไทรอยด์เป็นพิษ วัดความดันตรวจหลายอย่าง ผลออกมาปกติดี ไม่เป็นอะไร หมอทั่วไปเลยคิดว่าลองไปพบจิตแพทย์ดีกว่า เพราะตรวจทางกายเรียบร้อยดี ก็ต้องไปดูว่าป่วยทางใจหรือไม่

ในที่สุดก็ไปพบจิตแพทย์ หมอบอกว่า เขาเกิดความเครียดสะสมมานาน เริ่มจากเขาต้องดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งเรื้อรังมาหลายปี แล้วเป็นลูกที่สนิทกับแม่มากที่สุดใกล้ชิดที่สุด คุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง แม่เข้าใจทุกอย่าง พอแม่ป่วยเขาก็เศร้ามาก ขาดที่พึ่งทางใจ

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

 

เนื่องจากที่ผ่านมาเขามีปัญหาเก็บกดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก เครียดสะสมไม่รู้ตัวมายาวนาน เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นวิศวกร ไม่เคยยอมรับเรื่องความเป็นเกย์ของเขาและมีปัญหาขุ่นข้องใจกันเรื่อยมา เวลาอยู่ต่อหน้าคุณพ่อเขาจะต้องดูเป็นผู้ชายเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ให้มากที่สุดโดยไม่เป็นตัวของตัวเองเลย จะมีแต่คุณแม่ที่คอยเป็นกันชนให้เขา ยอมรับในตัวตนของเขาได้ เมื่ออยู่กับแม่เขาถึงจะแสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมาได้

แม้ตอนที่เขากลับจากประเทศแคนาดาใหม่ๆ มาเปิดร้านทำผมแล้ว คุณพ่อก็เหมือนว่ายังยอมทำใจรับไม่ได้ ก็ยังเฉยๆ ชาๆ ใส่กัน หรือเลี่ยงที่จะไม่พูดกันเรื่องนี้ กลายเป็นว่าคุณแม่เป็นคนกลางที่คอยประสานระหว่างเขากับคุณพ่อ พอคุณแม่ป่วยมา 3 ปีกว่านั้น ทำให้เขากลัวภาวะขาดที่พึ่งทางใจ ขาดคนที่เข้าใจเขาที่สุด ซึ่งมันสะสมมานานแล้ว พอคุณแม่ป่วยและจากไป ระเบิดเวลาในตัวเขามันก็แตกออกมา อีกทั้งในวัย 51 ฮอร์โมนเพศหญิงในตัวก็เริ่มแตกออกมาด้วย

จิตแพทย์ก็แนะนำให้ปลดปล่อยออกมา อย่าเก็บกดเอาไว้อีกต่อไป ยอมรับในตัวตนที่ต้องการจะเป็น ยอมรับตัวเองให้ได้เสียก่อน ปรับมุมมองความคิดเสียใหม่ แล้วก็ให้ปรับเรื่องอาหารการกินควบคู่กันไป ด้วยการให้ลดของหวานหลัง 18.00 น.เป็นต้นไป เนื่องจากของหวานจะไปกระตุ้นให้คนที่ไฮเปอร์อยู่แล้วยิ่งไฮเปอร์มากขึ้นไปอีก แล้วของหวานจะทำให้เครียดง่ายและฝันร้ายหากใช้พลังงานที่เหลือมากไปไม่หมด

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

ระเบิดลูกที่ 2

หลังจากเขาได้ปลดปล่อยตัวเองออกมาด้วยการแต่งผู้หญิงเต็มตัว ในด้านความสบายนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สามารถยอมรับตัวเองได้ในแบบที่ใจต้องการ แต่บ่อยครั้งที่เขาต้องเจอแรงเสียดทานจากสายตาคนทั่วไป ที่มาพบเห็นเขาตอนนี้แล้วจะสตั๊นไป 3 วินาที แล้วก็มีแบบที่ยิ้มให้ ถ้าเป็นคนวัยทำงานบางคนที่ทันเห็นผลงานเขาในอดีตก็จะมีมาทักทายบ้าง แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่มากๆ จะแบบมองแล้วอึ้งๆ แล้วเดินไปเลย เขาเองก็พยายามทำใจยอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องยอมแลกไปบ้าง

ในขณะที่คุณพ่อของเขานั้น หลังจากที่คุณแม่เสียไป ท่านเองก็พยายามที่จะยอมรับเขาให้ได้มากขึ้น ด้วยการพูดคุยเป็นปกติ แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่คุยกันในเรื่องนี้ แล้วท่านก็ลดดีกรีลงไปเยอะ ขณะที่ตัวเขาเองเวลาที่จะต้องไปพบคุณพ่อ ตัวเขาเองก็ต้องลดดีกรีเรื่องการแต่งตัวลงไปบ้างเช่นกัน

แต่สิ่งที่เขาเองก็กังวลใจมากที่สุดอีกคน ก็คือ แฟนหนุ่มวัย 40 ของเขานั่นเอง ที่ก็ตกใจกลับการเปลี่ยนโดยเฉพาะการแต่งสาวของเขานั้น โดยแฟนคนนี้คบกันมานาน 20 กว่าปีแล้ว เขาเป็นเกย์ที่ชอบมีแฟนเป็นผู้ชาย เขาไม่ได้อยากมีแฟนป็นผู้หญิง ถ้าเขาอยากมีแฟนเป็นหญิงสาวเขาก็คงแต่งงานกับผู้หญิงไปแล้ว

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

 

“ตอนที่คบกันแรกๆ ต้อมก็แต่งชายแบบบอยๆ ไง ซึ่งเขาก็โอเคตรงจุดนั้น แต่พอต้อมมาแต่งสาว เขาทำตัวไม่ถูก เขาก็ตกใจ จนต้องมานั่งเปิดใจกัน ว่าเขาพอจะรับได้ไหมที่ต้อมเป็นแบบนี้ เพราะต้อมไม่อยากโกหกเวลาอยู่ต่อหน้าเขาก็แต่งบอย แต่ลับหลังเขาก็ไปแต่งสาว ถ้ารับที่ต้อมเป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้อมยินดีให้โอกาสเขาเลือก เขาก็อึ้งๆ ไป จริงๆ เขาไม่ชอบให้เราแต่งแบบนี้ แต่ที่เขายังไม่ไปจากต้อมเพราะเราคบกันมานาน ผูกพันกันมาก แล้วเราก็จดทะเบียนกันแล้วที่แคนาดา เวลาผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานกัน จดทะบียนเป็น LAW Partner ต้องขอบคุณเขาที่ยังอยู่กับต้อม แม้ว่าต้อมจะเปลี่ยนไปจากเดิมในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ก็ทำใจนะ ถ้าวันหนึ่งเขาจะจากไปเพราะเราเปลี่ยนไป ต้อมก็ต้องทำใจและยอมรับการตัดสินใจของเขา” เขาเล่าอย่างคนที่ต้องพยายามยอมรับความจริงให้ได้

ไกรวิทย์ บอกว่า เรื่องแฟนของเขานั้นก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญในชีวิตอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอยู่กันมานานกว่า 25 ปี ให้กำลังใจดูแลกันมาตลอด และหวังจะอยู่ด้วยกันตลอดไป การที่เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ไปก็อาจจะทำให้แฟนของเขาลำบากใจ รู้สึกผิดต่อเขา ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากหลอกตัวเอง “คือถ้าต้อมยังยอมรับตัวตนของตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะยอมรับได้ล่ะ ต้อมจึงต้องยอมรับตัวเองให้ได้เสียก่อน อย่าหลอกตัวเองอีกต่อไป อายุก็ขนาดนี้แล้ว ไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไป จะให้ทำอย่างไรได้ในบทบาทความเป็นลูก ต้อมก็ทำเต็มที่ ดูแลส่งเสียพ่อแม่อย่างดี ในฐานะหัวหน้าก็พยายามทำร้านให้มั่นคง ลูกน้องจะได้สบายใจ มีรายได้ที่ดี ถึงจะเป็นอย่างนี้ต้อมก็พยายามแบ่งปันช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตการกุศล ตัดผมช่วยชาติ ใครชวนทำอะไรต้อมจะยินดีทำเสมอ”

เขาบอกว่า เรื่องราวในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น มีจังหวะเวลาของมันเสมอ มีทั้งเรื่องที่ง่ายและเรื่องที่ยากๆ ซึ่งเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เขาเองก็ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ ไม่ได้คิดว่าในวัย 50 กว่าจะแต่งตัวแบบนี้ มันไหลไปตามจังหวะเวลาของมัน เพียงคิดว่าถ้ามันไม่ทำร้ายใคร เดือดร้อนใคร ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ชีวิตก็แค่นี้ มาค่อนชีวิตแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป เขากล่าวอย่างคนที่มองโลกด้วยความเป็นจริง

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา

ไกรวิทย์ พุ่มสุโข บางทีชีวิตก็เหมือนระเบิดเวลา