posttoday

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

28 พฤษภาคม 2560

โบราณว่าไว้คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ เหล็กจะแกร่งและดีต้องผ่านการตีการเผามาอย่างหนักหน่วง

โดย...อณุสรา  ทองอุไร

โบราณว่าไว้คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ เหล็กจะแกร่งและดีต้องผ่านการตีการเผามาอย่างหนักหน่วง เช่นเดียวกับเขาคนนี้ หนึ่ง-จักรวาล เสาธงยุติธรรม นักดนตรีฝีมือฉกาจเป็นที่ยอมรับอยู่ในแวดวงดนตรีแบ็กอัพมานานเกือบ 30 ปี แต่กว่าจะถึงวันนี้เขาก็ผ่านประสบการณ์อันยากลำบากมามากมาย ไม่มีพรสวรรค์มีแต่พรแสวงล้วนๆ และได้ดีมีฝีมือมาได้ก็เพราะเสียงด่าและคำดูถูกอย่างแท้จริง

เขาเล่าย้อนถึงวัยเด็กว่าเกิดและเติบโตที่สลัมคลองเตย เพราะคุณพ่อของเขาเป็นพนักงานขับรถให้กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย แม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงดูลูกสองคนอย่างเข้มงวด เพราะพ่อเคยมีประสบการณ์ที่ลูกชายคนหนึ่ง (จากภรรยาคนแรก) ติดยาเสพติดและเสียชีวิตในที่สุด พ่อจึงไม่อยากให้ลูกคนอื่นต้องเจอชะตากรรมแบบนั้น พ่อจึงให้แม่เลี้ยงดูเขาและน้องสาวอย่างใกล้ชิด เพราะสังคมแถวบ้านจะมีแต่ข่าววัยรุ่นตายคาเข็ม ยิงกัน ตำรวจไล่จับกันกลางวันแสกๆ กลางคืนก็มีการเผาไล่ที่จนเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กๆ เขาก็จะกลัวเรื่องพวกนี้มาก

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

“แม่ดุมากๆ เลยไม่ให้ผมออกจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนๆ ข้างบ้านเลย ให้เล่นกับน้องสองคนอยู่แต่ในบ้าน แม่เขาจะระวังลูกๆ ไม่ให้คลาดสายตาเลย ของเล่นก็ไม่เคยมีใหม่ๆ ที่มีเล่นนี่คือได้จากของที่ลอยน้ำมาจากในคลองน้ำเน่าที่เขาทิ้งแล้ว เอามาล้างขัดถูให้สะอาดแล้วเอามาเล่นต่อ แต่โชคดีที่พ่อชอบร้องเพลง แล้วพ่อก็มีเพื่อนเป็นนักร้องลูกทุ่งเยอะ อย่างลุงไวพจน์ เพชรสุพรรณ ลุงชัยชนะ บุญนะโชติ เขาก็มากินข้าวตั้งวงร้องเพลงกันบ่อยๆ แล้วพ่อก็มีตำราร้องเพลงโบราณ เราก็นั่งล้อมวงดูพ่อกับเพื่อนๆ เขาร้องเพลงต่อเพลงกัน และเราก็ชอบดนตรี เติบโตมากับเพลงลูกทุ่งอย่างแท้จริง” เขาเล่าถึงวัยเด็กให้ฟัง

วัยเด็กเขาไม่เคยมีเครื่องดนตรี ไม่เคยได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขารู้จัก ก็คือ ลุงข้างบ้านที่เป็นเพื่อนกับคุณพ่อมีเครื่องแอกคอร์เดียน ท่านจะเล่นเครื่องนี้เป็นประจำ เขาก็ไปนั่งฟังอยู่บ่อยๆ ลุงก็สอนให้เขาตีกลองเวลาที่ลุงเล่นแอกคอร์เดียน ให้กลายเป็นวงดนตรีย่อยๆ ขึ้นมา ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 5 ขวบ

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

หลังจากนั้นก็ฝึกตีกลองเล่นดนตรีอยู่แต่ในบ้าน น้องสาวก็เป็นนักร้องนำ เล่นกันไปสองคนพี่น้องเอาจานเอาชามมาหัดตีจนชามแตกไปหลายใบ บางทีลุงไปเล่นดนตรีตามงานวัด งานบวช งานโกนจุก งานครบรอบ งานเล็กงานน้อย ได้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ ไปเล่นกับลุงบ่อยๆ จนเริ่มจับทางดนตรีได้

ในที่สุดวันหนึ่ง ลุงไวพจน์ เพชรสุพรรณ ก็ให้คีย์บอร์ดเก่ามาเครื่องหนึ่ง นั่นก็คือเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาได้เป็นเจ้าของจริงจัง โดยมีพ่อสอนให้เล่น กดคอร์ดจับทางดนตรีไปเรื่อย จนได้ทางเพลงมาบ้าง ก็ฝึกฝนด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ และไม่เคยไปเรียนดนตรีที่ไหนเพราะไม่มีเงิน

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

จนกระทั่ง 10 ขวบ พ่อชวนตั้งวงเล่นๆ ชื่อวง จิ๊บจ้อย เล่นงานแถวบ้านได้ค่าขนมนิดๆ หน่อยๆ ครั้งละไม่เกิน 100 บาท เขาเล่นคีย์บอร์ด น้องสาวเป็นนักร้องนำ บางทีเล่นๆ ไปก็มีคนขอขึ้นมาร้องเพลงสลับกับน้องสาว ซึ่งเขาต้องคอยเดาทางเพลงว่าลุงคนนี้จะร้องเพลงอะไร ป้าคนนั้นจะร้องแบบไหน เพราะไม่เคยซ้อมด้วยกันมาก่อน เดาใจกันไปว่าเสียงแกจะมาคีย์ไหน บ่อยครั้งที่เขาก็อึดอัด เพราะแกะเพลงได้ไม่หลากหลาย อยากจะไปเรียนแต่ก็ไม่มีเงิน ได้แต่ฝึกไปเองงูๆ ปลาๆ งานประจำของวงนี้คืองานวัด คุณพ่อสอนเขาว่า ฟังที่เสียงนักร้อง แล้วใช้ความรู้สึกว่าเราควรจะเล่นอย่างไรให้เข้ากับเสียงร้องอ่านโน้ตไม่ออก แต่จำเอา ฟังเอา เล่นตามที่ผู้ใหญ่เล่น

จนกระทั่งขึ้น ม.1 เขาไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ อยากจะเรียนเปียโน แต่คนอยากเรียนเยอะ คุณครูก็เลยถามว่ามีใครเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า เราไม่ยกมือเพราะไม่เคยเรียนมาก่อนไม่กล้าโกหกครู แต่เพื่อนๆ ยกกันหลายคน มารู้ตอนหลังว่าไอ้คนที่ยกๆ นั้นหลายคนไม่เคยเรียนมาก่อนด้วยซ้ำ

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

“นามสกุลเรา เสาธงยุติธรรม เราต้องซื่อสัตย์ไม่หลอกลวง เราต้องพูดความจริง แต่คนอื่นไม่ได้พูดความจริงเขาก็ได้เรียนไป เราพูดความจริงเลยไม่ได้เรียน ทั้งๆ ที่เราเล่นคีย์บอร์ดมาเกือบ 5 ปี ถือว่ามีพื้นฐานแล้วด้วย คนอื่นคีย์บอร์ดก็ยังเล่นไม่เป็น ก็เลยต้องไปเรียนไวโอลินแทน” เขาเล่าอย่างเสียดาย

ตอนนั้นเขาบอกว่าเสียใจมากๆ รู้สึกน้อยใจในโชคชะตา แต่ก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ยอมแพ้ และจะไม่ยอมไปเสียเงินเรียนเองเด็ดขาด เพราะยังไงก็ไม่มีเงินไปเรียนเองอยู่แล้ว แล้วที่สำคัญกฎของโรงเรียนนาฏศิลป์ ก็คือ ห้ามนักเรียนไปใช้เครื่องดนตรีที่ตัวเองไม่ได้เรียน (เพราะกลัวจะพัง) ต้องเล่นในสิ่งที่เลือกเรียนเท่านั้น

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

ดังนั้น ในภาวะเวลาปกติเขาไม่มีสิทธิจะได้หยิบจับเปียโนเลย สิ่งแรกที่ทำได้ ก็คือ ไปแอบฟังครูซ้อมแล้วจดโน้ต แล้วก็ไปซื้อหนังสือดนตรีมาดูตาม ไปแอบดูครูซ้อมทุกวันจากหลังห้อง วันละ 1-2 ชั่วโมง ก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน พอวันเสาร์-อาทิตย์มีเพื่อนที่มาซ้อมเปียโนก็แอบไปเรียนไปซ้อมกับเขาบ้าง พอคุณครูรู้ถึงความตั้งใจจริงจังของเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ซ้อมเล่นบ้าง

แล้วก็มีเพื่อนรุ่นพี่เขาเล่นที่คาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ก็ไปเล่นดนตรีกับเขา ก็ยังเล่นไม่ค่อยดี ถูกนักร้องด่าทุกวัน ไม่มีสักวันที่นักร้องจะไม่ด่าเขา และได้ค่าแรงเป็นข้าวผัด 1 จาน ยิ่งถูกด่าเขาก็ยิ่งจำแม่นเพื่อจะไม่ให้ถูกด่าซ้ำ พอขึ้น ม.2 เขาก็เริ่มเล่นดนตรีที่คาเฟ่แบบเป็นอาชีพ เล่นตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงตี 3 ได้นอน 2-3 ชั่วโมง ตีห้าก็ตื่นไปโรงเรียน ไปแอบหลับที่โรงเรียนบ่อย จนครูเรียกผู้ปกครองไปพบเพราะคิดว่าเขาติดยา เพราะตัวดำๆ ผอมๆ ง่วงหงาวหาวนอนตลอดเวลา แม่ก็ไปยืนยันกับครูว่า ลูกชายไปเล่นดนตรีหาค่าเล่าเรียน ครูถึงเข้าใจ

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปซ้อมดนตรีที่โรงเรียน ครูเห็นพอมีแววแล้วตั้งใจจริง ก็เลยยอมให้มาซ้อมเปียโนวันเสาร์-อาทิตย์ ซ้อมตั้งแต่เช้ายันเย็น ห่อข้าวไปกินด้วย มีแค่นม 2 กล่อง ขนมปัง 2 ชิ้น เพราะไม่มีเงินไปซื้อข้างนอกกิน มีแต่ค่ารถเมล์ไปเท่านั้น เพื่อนๆ เขาซ้อมเสร็จก็ไปวิ่งเล่นกัน ส่วนเขานั้นไม่เคยได้มีวันหยุดหรือได้วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ เลย ชีวิตนี่ 7  วันเต็ม ทำงานกับเรียนเท่านั้น

“ผมต้องซ้อมให้หนัก ถ้าไม่ซ้อมผมจะโดนด่าและเวลาไปเล่นที่คาเฟ่ ผมไม่อยากถูกด่าอีกแล้ว ถ้าคนนี้เคยด่าแล้วผมจะพยายามไม่ให้คนเดิมด่าซ้ำ แล้วถ้าเล่นที่ไหนดีพอจนไม่มีคนด่าแล้ว ผมจะย้ายคาเฟ่ทันที (หัวเราะ) ผมจะใช้การด่าการดูถูกเป็นแรงขับ โดยผมจะย้ายไปเล่นในคาเฟ่ที่ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น แล้วก็มีคนเก่งคนใหม่ด่าผมอีก ผมก็จะมุมานะซ้อม เพลงไหนเคยถูกด่าเพราะเล่นไม่ดี ก็จะซ้อมจนดีขึ้น ยิ่งถูกด่ามากก็จะเก่งขึ้นมาก ผมนี่โตมากับเสียงด่าเลยนะ 10 ปีแรกของการเล่นที่คาเฟ่” เขาเล่าอย่างจริงจัง

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

ช่วงเวลาที่แย่และสร้างความจดจำให้กับเขามากที่สุด ก็คือ เขาถูกไล่ลงจากเวที เพราะทำให้นักร้องไม่พอใจ เขาเล่นพลาดเพราะยังแกะเพลงไม่คล่อง นักร้องคนนั้นไปบอกผู้จัดการให้ไล่เขาออกเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งเป็นการไปเล่นที่คาเฟ่ดัง เพราะเป็นคาเฟ่ที่มีนักร้องมือรางวัลจากเวทีต่างๆมาร้องกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเขาไปเล่นได้ 15 วัน ยังไม่ได้เงินเดือนเลยด้วยซ้ำ

“ผมเดินออกมาเจอ พี่เจี๊ยบ-นนทิยา จิวบางป่า ก็ลาแก บอกพี่ผมถูกไล่ออกแล้วนะครับ ขอถ่ายรูปกับพี่เป็นที่ระลึกหน่อย เราคงไม่ได้เจอกันแล้ว พี่เขาก็ให้กำลังใจบอก ดำ (ชื่อที่คนเรียกเขาตอนนั้น) อย่าท้อนะ ตั้งใจฝึกซ้อมให้ดีขึ้นไปอีก สักวันเธอจะดังแล้วมาเล่นให้พี่นะ พี่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ มานะแล้วแกก็กอดผม” เขาเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

หลังจากนั้นผ่านไปหลายปี เขามีฝีมือดีขึ้น ก็กลับไปขอเล่นให้กับคอนเสิร์ตของ นนทิยา จิวบางป่า ปรากฏว่าเธอจำเขาไม่ได้ เพราะเขาอ้วนดูดีขึ้น แล้วคนเรียก หนึ่ง จักรวาล ไม่ใช่ไอ้ดำคนเดิม พอเล่นจบเขาก็ถามว่า

“พี่จำผมไม่ได้หรือ ดำไงล่ะ แกถึงจำได้แล้วร้องไห้เลย ดีใจที่ผมมีชื่อเสียงขึ้น แล้วยังนึกถึง มาเล่นให้พี่เขาตามสัญญา เราก็กอดคอกันร้องไห้”

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

เขาเล่าว่า 20 ปีแรกในชีวิตการเล่นดนตรีของเขานั้น ยากลำบากและต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมาก ไม่เคยมีค่ามีราคาในสายตาใครเลย เติบโตมากับเสียงด่าโดยแท้จริง ค่าตัวก็หลักร้อยมาโดยตลอด หลักพันนั้นนานๆ จะได้เจอ เพิ่งมา 10 ปีหลังนี้ ชีวิตถึงเริ่มดีขึ้น เข้าที่เข้าทางขึ้น เป็นที่ยอมรับขึ้น

ในวันที่เขาสบายขึ้นคุณพ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ยังเหลือคุณแม่ และเขาก็พาคุณแม่ย้ายออกจากสลัมคลองเตยมาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งใจจะเลี้ยงท่านให้สุขสบายเพราะท่านเขาจึงรอดเข็ม รอดคุก มาได้ดีจนถึงทุกวันนี้

“ตอนนี้พอมีเงิน จะไปเรียนดนตรีเพิ่ม ก็ไม่มีใครยอมสอน เพราะเขาอ้างว่าผมเก่งแล้วไม่ต้องมาเรียน ถ้ามีโอกาสเขาก็จะสอนคนอื่นบ้างและเป็นการสอนฟรี แต่เขาก็จะสอนแบบโหดๆ หน่อย เพราะเขาเองก็ไม่ได้เรียนมาแบบสุขสบาย ถ้าไม่มีความตั้งใจจริงเขาก็ไม่สอนให้ จะสอนเด็กที่ยากลำบากและตั้งใจจริง” เขากล่าวทิ้งท้าย

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก

จักรวาล เสาธงยุติธรรม ชีวิตนี้ได้ดีเพราะเสียงด่าและคำดูถูก