posttoday

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

06 พฤษภาคม 2560

ฤดูร้อนมีเสน่ห์อยู่เสมอ โดยเฉพาะอาหารการกินที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวของหน้าร้อน เพื่อระบายและขับความร้อน

โดย...ทีม@Weekly

 ฤดูร้อนมีเสน่ห์อยู่เสมอ โดยเฉพาะอาหารการกินที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวของหน้าร้อน เพื่อระบายและขับความร้อนจากร่างกาย เพิ่มความเย็นให้แก่ร่างกาย

 สีสันของอาหารหน้าร้อนส่วนมากจะเป็นของที่เกี่ยวกับความเย็น เช่น น้ำแข็ง ที่นำมาทำของหวานของกินเล่นได้มากมายหลากหลายรูปแบบและชนิด อาทิ หวานเย็น น้ำแข็งไส ไอติมหลอด สมูทตี้ผลไม้ ผลไม้ลอยแก้ว ลูกตาลลอยแก้ว เฉาก๊วย ข้าวแช่ บะหมี่เย็น

 นันทลักษณ์ คีรีมา ได้เขียนถึง น้ำแข็งเย็นฉ่ำใจ ในหนังสือ "50 สิ่งแรกในเมืองไทย" ไว้ว่า สมัยโบราณเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน มีการใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแล้ว โดยมนุษย์ตัดน้ำแข็งมาแช่อาหารเพื่อยืดอายุให้ได้นานกว่าเดิม เคยมีพ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่งตัดน้ำแข็งบรรทุกลงเรือแล่นออกมาหวังจะขายแก่กลุ่มประเทศในเขตร้อน แต่น้ำแข็งเหล่านั้นได้ละลายระหว่างเดินทางจนหมด

 น้ำแข็งเข้ามาในประเทศไทยราวๆ สมัยรัชกาลที่ 4 โดยนำมาจากประเทศสิงคโปร์โดยอาศัยเรือกลไฟที่มีชื่อว่า “เจ้าพระยา” ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 วัน/1 เที่ยว ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บันทึกเรื่องน้ำแข็งไว้ในหนังสือความทรงจำ ซึ่งหากคำนวณแล้วพระองค์ประสูติเมื่อปี 2405 ส่วนรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2411 น้ำแข็งก็น่าจะเข้ามาในไทยในช่วงระหว่างปี 2405-2411

 ในอดีตน้ำแข็งเป็นของหายากและมีราคาแพงมาก มนุษย์ที่มีสิทธิได้ชิมรสชาติเย็นชื่นใจของน้ำแข็งจะต้องเป็นระดับเจ้านาย เชื้อพระวงศ์ หรือข้าราชการเท่านั้น แต่หลังจากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นายเลิศ เศรษฐบุตร ได้ตั้งโรงน้ำแข็งขึ้นมาชื่อว่า “น้ำแข็งสยาม” ที่สะพานเหล็กล่าง ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “โรงน้ำแข็งนายเลิศ” แต่ช่วงแรกยังไม่ค่อยมีใครกล้ากินนัก เพราะชาวบ้านไม่เชื่อกันว่าน้ำนั้นจะสามารถแข็งตัวได้

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

 น้ำแข็งอยู่ในอุณหภูมิปกติได้ไม่นานก็จะละลายแล้ว ในอดีตวิธีการขนส่งน้ำแข็งไม่ให้ละลาย คือนำน้ำแข็งใส่ถังกลบด้วยขี้เลื่อยเพื่อช่วยรักษาความเย็นไว้ให้อยู่นานๆ

 น้ำแข็ง จึงเป็นของกินหน้าร้อนที่แผลงแปลงไปตามยุคสมัย เมนูน้ำแข็งสุดฮิตยุคปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 3 แบบ 3 สไตล์ จาก 3 สัญชาติด้วยกัน นั่นก็คือ บิงซู จากเกาหลี สโนว์ไอซ์จากไต้หวัน และ คากิโกริ จากญี่ปุ่น  

 น้ำแข็ง ถือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหลักของกินหน้าร้อน มาสำรวจความละเมียดละไมดั้งเดิมของอาหารและของกินหน้าร้อน รวมถึงการตลาดยุคใหม่ของเครื่องดื่มเย็นๆ ในหน้าร้อนที่ขายดีเป็นพิเศษในเมืองไทยกัน

ฤดูร้อน ดั้งเดิมคนไทยฉลาดกิน

 อาหารไทยคาว-หวาน ที่ชื่นฉ่ำดับกระหายคลายร้อน มีอาหารและผลไม้ไทยอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ ข้าวแช่ชาววัง แตงโมปลาแห้ง เมี่ยงดอกบัว และมะม่วงนานาพันธุ์แกล้มกันกับน้ำปลาหวาน พร้อมด้วยขนมหวาน หวานเย็น ทั้งมะยงชิด กระท้อน ลูกลานลอยแก้ว ที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบัน

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

 ทุกวันนี้ก็มีความอร่อยของไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวมูนและมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง หรือจะเลือกอร่อยเย็นใจกับไอศกรีมรสเมี่ยงคำ มะม่วงน้ำปลาหวาน ฝรั่งแช่บ๊วย มะยม พร้อมอร่อยเบาๆ ไปกับมะม่วงเบาแช่อิ่ม และอื่นๆ อีกมากมาย

 ของกินหน้าร้อนหรือฤดูร้อนของไทยแต่ดั้งเดิม มีภูมิปัญญาที่แยบคายและปรับไปตามฤดูกาล ดวงฤทธิ์ แคล้วปลอดทุกข์ ซึ่งจบการศึกษาปริญญาโท Cultural Heritage and Contemporary Arts Management จาก College of Innovation ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร และเป็นฟู้ด สไตลิสต์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาหารระดับประเทศ บอกว่า จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์มีสัญชาตญาณในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ดังนั้นไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่เป็นทุกชนชาติที่มีการปรับตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิต

 “เมืองไทยคือเมืองร้อนจัดตลอดเวลา เราจะเห็นว่าของกินทุกอย่างของเราในอดีตจะใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในเมืองร้อน ธรรมชาติของวัตถุดิบเอง จึงมีสภาพที่เหมาะสมอยู่แล้วกับภูมิอากาศ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่ชุ่มฉ่ำ อวบน้ำ มีรสชาติฝาด หวานอมเปรี้ยว และส่วนใหญ่มีฤทธิ์เย็น

 “ถ้าหากชนิดใดมีฤทธิ์ร้อน คนไทยก็รู้จักการนำของฤทธิ์เย็นมาขัดให้เกิดความสมดุล เช่น แกงกะทิที่ร้อนก็ปรับสมดุลด้วยเครื่องสมุนไพรจากเครื่องแกงที่ร้อนแรงให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการขับเหงื่อ คายความร้อนในร่างกายให้เกิดความเย็น หรืออย่างเช่น ข้าวแช่ อาหารที่มีทั้งอาหารเข้าน้ำมัน อาหารทอดฤทธิ์ร้อน ก็นำมาปรับสมดุลด้วยการกินกับข้าวสุกที่แช่ในน้ำเย็นด้วยเช่นกัน”

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

 ดวงฤทธิ์ ลงลึกว่า ในอดีตคนไทยไม่มีพื้นฐานการกินสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย หรือหมู ซึ่งเป็นวัตถุดิบโปรตีนที่ให้ความร้อนในร่างกายมาก แต่จะกินโปรตีนจากสัตว์ล็ก เช่นปลา นก หนู ไก่ กบ และแมลงต่างๆ ที่ให้พลังงานความร้อนน้อยกว่า

 “ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวของคนก็เปลี่ยนไปด้วยตามเทคโนโลยี แต่ก็ยังเป็นหลักการปรับตัวแบบดั้งเดิม”

 สำหรับหน้าร้อนของคนไทย ตั้งแต่มีอิทธิพลตะวันตกเข้ามาในยุคล่าอาณานิคม ของกินประเภทเย็นอย่างไอศกรีมหรือไอติม รวมถึงน้ำแข็งเข้ามามีบทบาท จนถึงยุคปัจจุบัน ทำให้ของกินของหวานหน้าร้อนเปลี่ยนไป ในมุมนี้มีวิวัฒนาการสู่ความร่วมสมัย ดวงฤทธิ์ มองการผสมผสานทางวัฒนธรรมการกินตรงนี้ว่า

 “เป็นเรื่องน่าสนุก สำหรับอาหารที่เล่นกับความเย็น ตั้งแต่ที่เรารับน้ำแข็งมาจากสิงคโปร์มาทางเรือขนส่งสินค้า คนชั้นสูงในวังได้พยายามผลิตตู้เย็นใช้เองแบบยังไม่มีไฟฟ้า โดยใช้ไม้สักมาต่อ แล้วดาดด้วยแผ่นดีบุก เพราะไม่เป็นสนิมเวลาโดนความชื้น จึงสามารถเก็บความเย็นได้ระยะเวลาหนึ่ง ไม่มีตะปูแต่จะใช้ไม้สลักตอกแทนเพราะไม่เป็นสนิมเช่นกัน แล้วใส่น้ำแข็งก้อนโตๆ ไว้ภายในให้เย็นตลอดเวลา คนในวังใช้ตู้เย็นแบบนี้แช่น้ำดื่มของเจ้านายให้เย็น แช่ผลไม้ปอก ผลไม้คว้าน ผลไม้ไว้ลอยแก้ว เยลลี่คาว เยลลี่หวานสำหรับเป็นเครื่องเสวยเจ้านาย คนในวังไม่ใช้ตู้เย็นเก็บของสด เพราะวัตถุดิบ เครื่องปรุงทุกชนิดที่ใช้ปรุงจะต้องสดใหม่ มื้อต่อมื้อ หรือวันต่อวันเท่านั้น

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

 “ต่อมาเมื่อมีพัฒนาการการใช้ไฟฟ้าขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 การปรุงอาหารหรือขนมเย็นๆ ใช้น้ำแข็งแบบตะวันตกมีมากขึ้น ลูกเล่นต่างๆ จึงเป็นความสนุกของแม่ครัว พ่อครัว ตลอดจนทุกวันนี้ก็มีขนมน้ำแข็งจากประเทศในแถบเอเชีย

เช่น บิงซู จากเกาหลี เป็นต้น ทำให้เรามีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น”

 ของกินหน้าร้อนทั้งของหวานของคาวในยุคปัจจุบัน เปลี่ยนไปและสืบทอดผสมผสานกับอดีต มีจุดดีจุดด้อย ดวงฤทธิ์ วิเคราะห์อย่างน่าสนใจว่า อาหารการกินของเรามีวิวัฒนาการทุกอย่างไปตามยุคสมัยอยู่แล้ว มีการผสมผสานนานาชาติมาตั้งแต่อดีตอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ

 “แต่อาหารไทยหน้าร้อนโบราณบางชนิดก็ยังอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน เช่น ข้าวแช่ ข้าวเหนียวมะม่วง เพราะเนื่องจากความลงตัว ความพอเหมาะของส่วนผสมแต่ละชนิด หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘มีของดี’ มีจุดเด่นอยู่ในตัว ส่วนอาหารโบราณชนิดไหนไม่อร่อย หรือรสชาติไม่ลงตัวจริงๆ หรือมีจุดด้อย ก็จะค่อยๆ หายสาบสูญไปในที่สุด เนื่องจากคนไม่นิยมไปเอง”

 ส่วนในมุมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร อยากให้ของกินหน้าร้อนของเมืองไทยหาจุดสมดุลและมีภาพอนาคตอย่างไร? ดวงฤทธิ์ มองว่า การหาจุดสมดุลให้กับชีวิตนั้น มนุษย์เราเก่งมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วจริงๆ เนื่องจากเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด

 “ดังนั้นผมคิดว่า การหาจุดลงตัว หรือจุดสมดุลจึงไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยของอาหารหน้าร้อนไทยในอนาคต”

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

ฤดูร้อนไม่เป็นเหมือนเก่า สดชื่นยุคใหม่

 สำหรับยุคปัจจุบันของเมืองไทย ในทุกปี พอเริ่มก้าวเข้าสู่เดือน มี.ค. หลายสินค้าก็เริ่มออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ และออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคัก เนื่องจากหน้าร้อนถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของหลายสินค้าในการกอบโกยยอดขาย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม เพราะสภาพอากาศที่ร้อนทำให้การบริโภคเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นเพิ่มขึ้น

 กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่ดูจะมีการแข่งขันกันรุนแรงมากที่สุด คือ ชาเขียวพร้อมดื่ม เห็นได้จากการออกเปิดตัวกิจกรรมส่งเสริมการขายกันตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าสู่หน้าร้อน ซึ่งกิจกรรมที่ทั้งสองค่ายชาเขียวพร้อมดื่มเลือกนำมาใช้ในการกระตุ้นยอดขายช่วงหน้าร้อนนี้ คือ แคมเปญลุ้นโชค

 เริ่มจากค่ายเจ้าตลาดอย่างโออิชิที่ปีนี้ขอทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท จัดแคมเปญ รหัสโออิชิ แจกหนัก ซูโม่ทองคำ กองทัพยามาฮ่า ให้ลูกค้าได้ร่วมลุ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยในส่วนของซูโม่ทองคำจะมีด้วยกัน 4 รางวัล ขณะที่จักรยานยนต์ยามาฮ่าก็ได้เตรียมโชคให้ลูกค้าได้ร่วมลุ้นมากถึง 1,000 คัน

 นอกจากนี้ ตลอดทั้งปี 2560 โออิชิ ยังจะมีแผนทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้สิ้นปีนี้มียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และมีส่วนแบ่งการตลาดจาก 47.2% เพิ่มเป็น 50% ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม

 ด้าน อิชิตัน ก็ออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงหน้าร้อนนี้อย่างคึกคักเช่นกัน ด้วยการใช้งบกว่า 100 ล้านบาท จัดแคมเปญ อิชิตัน ทัวร์เจแปนสุดหรู เคียงคู่ 40 ซุป'ตาร์ ด้วยการดึง 40 ซูเปอร์สตาร์มาร่วมทริป เช่น เวียร์-ศุกลวัฒน์ สน-ยุกต์ ส่งไพศาล และชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

 พร้อมกันนี้ ยังชูจุดเด่นของแคมเปญดังกล่าว เพื่อดึงความสนใจลูกค้าอีก 5 เรื่อง ประกอบด้วยเรื่องที่ 1 ผู้โชคดีทั้งหมดจะได้รับประสบการณ์การนั่งเครื่องบินชั้นบิซิเนสคลาสทุกที่นั่ง เรื่องที่ 2 ออนเซน ที่เมืองชิซึโอกะ (Shizuoka) ซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยและสบายที่สุดในญี่ปุ่น เรื่องที่ 3 อาหารหรูสุดยอด ระดับพรีเมียมทุกมื้อ เรื่องที่ 4 บัตรกำนัลช็อปปิ้งอีกรางวัลละ 5 แสนบาท และเรื่องที่ 5 สามารถเดินทางไปกับผู้ติดตามอีก 1 คน เมื่อบวกกับซุป’ตาร์แล้ว ก็ทำให้ทัวร์นี้มีแต่ความสนุก โดยหลังจากจบแคมเปญดังกล่าว อิชิตัน คาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปกติไม่ต่ำกว่า 20%

ของกินหน้าร้อน ได้หมดถ้าสดชื่น

 ขณะที่กลุ่มชาเขียวพร้อมดื่มกำลังแข่งขันกันทำการตลาดกันอย่างคึกคักในฝั่งของเครื่องดื่มน้ำอัดลมก็ออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่ายโค้ก เป๊ปซี่ หรือเอส โดยในส่วนของโค้ก ล่าสุดได้ออกมาประกาศใช้งบ 180 ล้านบาท ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในเครื่องดื่ม โคล่าของประเทศไทย ด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 51% สร้างสรรค์กิจกรรม "ดื่มด่ำทุกความรู้สึกคิดถึงบ้าน" เพื่อส่งต่อประสบการณ์ซ่าสดชื่น ให้การกลับบ้านช่วงสงกรานต์ในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าที่เคย

 ขณะเดียว โค้ก ยังได้มีการเปิด "โค้ก เฟซบุ๊กแฟนเพจ" เพื่อเป็นช่องทางให้คนไทยพูดคุยส่งต่อความรู้สึกดีๆ กับคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือคนพิเศษ ซึ่งจะทำให้เทศกาลสงกรานต์นี้มีความประทับใจ เนื่องจากจะมีเซเลบริตี้คนดังมาร่วมแชร์ความรู้สึก และเพื่อให้การสื่อสารของแคมเปญเข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุม โดยโค้ก ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ พร้อมเพลงประกอบใหม่ "Taste the Feeling - Songkran" ที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับเทศกาลสงกรานต์โดยเฉพาะ เพื่อให้คนไทยร่วมซึมซับความรู้สึกแสนพิเศษของการได้กลับบ้านมากยิ่งขึ้น

 เช่นเดียวกับ เป๊ปซี่ ที่สุดล่าสุดได้มีการแต่งเพลง "นักเดินทาง" ขึ้นมาสำหรับแคมเปญ "เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ โมเมนต์" (Pepsi Summer Moment) ซึ่งจะเป็นแคมเปญการตลาดในช่วงหน้าร้อนนี้ โดยในส่วนของเพลงดังกล่าวได้ 4 หนุ่มวง Getsunova มาร่วมถ่ายทอดซัมเมอร์โมเมนต์ผ่านเสียงดนตรี พร้อมกันนี้ได้ 3 วัยรุ่นชื่อดังอย่าง เจเจ-กฤษณภูมิ ทอย-ปฐมพงศ์ และ ก้อย-อรัชพร มาเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ในแคมเปญโฆษณาชุดล่าสุด

 อย่างไรก็ดี เพื่อสร้างสีสันให้กับช่วงซัมเมอร์นี้ เป๊ปซี่ ยังส่งแพ็กเกจจิ้งรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น จำนวน 6 ลายทั้งในรูปแบบขวดพีอีทีและกระป๋องเข้ามาจำหน่าย ประกอบด้วย ลายซ่า...สดชื่น ลายซัมเมอร์ ลายรักเลย ลายไปกัน ลายแชะ และลายมันส์ ซึ่งในส่วนของสินค้าดังกล่าวจะมีทำการตลาดเฉพาะหน้าร้อนนี้เท่านั้น โดยตลอดระยะเวลาของการทำตลาดในช่วงซัมเมอร์นี้ เป๊ปซี่ได้เตรียมงบการตลาดไว้ที่ประมาณ 300 ล้านบาท

 ด้าน เอส ก็ทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท จัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายในช่วงซัมเมอร์ภายใต้ชื่อ เอส ซ่าซี้ดเลือกได้ ทั้งฟินทั้งซิ่ง พร้อมกับดึงศิลปินชื่อดังจากประเทศเกาหลีอย่างวง GOT7 มาเป็นพรีเซนเตอร์ และร่วมทำกิจกรรมในแคมเปญดังกล่าว ด้วยการให้ลูกค้าเลือกลุ้นของรางวัลใน 2 รูปแบบ คือ 1.เลือกจะไปติดเกาะกับศิลปิน GOT7 ที่เสม็ด และ 2.เลือกรับรถยนต์โตโยต้ายาริส รวม 100 คัน

 ทั้งนี้ เพื่อสร้างสีสันพร้อมกับตอกย้ำความสำเร็จของการนำสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด ล่าสุด เอส ได้มีการเปิดตัวแคมเปญ "เอส เพลย์ ปะทะความหอม ประลองความซ่า" เอาใจคนวัยรุ่น ได้อร่อยสดชื่นรับซัมเมอร์กับเอส 2 รสชาติใหม่ คือ เอส เพลย์ ฮาวายเอี้ยน พันช์ และ เอส เพลย์ เกรปเบอร์รี่

 ในส่วนของฝั่งน้ำผลไม้เอง ก็ออกมาทำการตลาดในช่วงซัมเมอร์นี้อย่างคึกคักเช่นกัน เห็นได้จากเจ้าตลาดน้ำผลไม้อย่างทิปโก้ ที่ออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ 2 รสชาติ คือ Tipco Mocktail Passion Summer (น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำเสาวรส) รสกลมกล่อม ออกเปรี้ยวนิดๆ จากน้ำเสาวรส และ Tipco Mocktail Magic Lychee (น้ำแอปเปิ้ล น้ำองุ่น น้ำลิ้นจี่) หอมหวานกับรสชาติลิ้นจี่ เข้าทำการตลาดในช่วงซัมเมอร์นี้

 เช่นเดียวกับเครื่องดื่มในกลุ่มฟังก์ชั่นนัลดริงก์ อย่าง เซปเป้ ที่ออกมาปูพรมเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดรวดถึง 7 รสชาติ ประกอบด้วย เลโม เพลย์ สูตรเวอร์จิ้น เลมอนเนด เลโม เพลย์ สูตรพิ้งค์ เลมอนเนด เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริงก์ กลิ่นแอปเปิ้ล สูตรน้ำตาลน้อย กุมิ กุมิ บาย โมกุ โมกุ รสเมลอนญี่ปุ่น กุมิ กุมิ บาย โมกุ โมกุ รสลิ้นจี่จักรพรรดิ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ และ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม เพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเอง

 จากการออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ และการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคึก น่าจะทำให้ช่วงหน้าร้อนของปีนี้มีความคึกคักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ซึ่งถือเป็นช่วงที่พีกที่สุดของการขายสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่ม

ข้อควรระมัดระวังอาหารหน้าร้อน

 สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนา ให้ความรู้ว่า ในช่วงฤดูร้อนผู้บริโภคควรระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารให้มาก เนื่องจากระยะนี้มีโอกาสที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการรับประทานอาหาร ซึ่งควรหลีกเลี่ยงอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะเน่าเสียง่าย เช่น กะทิ หรือแกงชนิดต่างๆ ที่มีส่วนผสมของกะทิ

 อาหารประเภทขนมจีน รวมถึงอาหารประเภทยำ ลาบ และอาหารทะเลที่ปรุงไม่สุก หรือทำเตรียมไว้นานค้างคืน เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโตเร็วในอาหารท่ามกลางอากาศร้อน ชื้น จากนั้นเชื้อจะปล่อยสารพิษออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้รับประทานเจ็บป่วย

 ทั้งนี้ วิธีปฏิบัติตัวให้เป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วงฤดูร้อนเท่านั้น คือ การกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพราะอาหารปรุงสุกด้วยอุณหภูมิสูงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคท้องเดิน ใช้ช้อนกลางช่วยยับยั้งแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่น และการล้างมือ ถือว่าสำคัญที่สุด ซึ่งช่วยป้องกันโรคได้ทุกชนิด

 อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารที่สามารถคลายความร้อนของร่างกาย อย่างผลไม้เป็นต้น ซึ่งผลไม้มีองค์ประกอบของน้ำอยู่มาก เช่น ชมพู่ แตงโม ส่วนอาหารที่เป็นสมุนไพรก็รับประทานได้ อาทิ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด จะมีคุณสมบัติช่วยให้ต่อมเหงื่อขยายตัวจึงสามารถระบายความร้อนของร่างกายออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ควรระวังเรื่องการรับประทานน้ำแข็ง เพราะน้ำแข็งอาจสกปรกและทำให้ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน

 ส่วน วงวัฒน์ ลิ่วลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า อาหารในช่วงหน้าร้อนมักเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคไทฟอยด์ โรคบิดเพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ ทำให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำ เหนื่อยง่าย ปากแห้ง จึงต้องระมัดระวังให้มาก ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน ป้องกันแมลงวันแพร่เชื้อ ดังนั้น ผู้บริโภคต้องสำรวจก่อนตัดสินใจเลือกร้านข้าวแกงให้ดีว่า ร้านนี้ปรุงอาหารสะอาดหรือไม่ สภาพแวดล้อมของร้านป้องกันแมลงวันหรือไม่