posttoday

คราฟมากา ตีโต้สยบภัยพาล

26 มีนาคม 2560

คราฟมากา (Krav Maga) คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสมผสาน ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วโลก

โดย...โยโมทาโร่ ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

คราฟมากา (Krav Maga) คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสมผสาน ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วโลก ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวนี้มีดีอย่างหากนึกภาพไม่ออก ลองหาดูวิธีการต่อสู้สไตล์คราฟมากาได้จากภาพยนตร์เรื่อง Jason Bourne นำแสดงโดย แมตต์ เดมอน ในฉากการต่อสู้ที่เริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว โดยมองแทบไม่ทันว่าคู่ต่อสู้นั้นโดนอะไรไปบ้าง นั่นละคือสิ่งที่ทำให้คราฟมากาได้รับความนิยมจากสาวๆ ทั่วโลกที่อยากจะฝึกกลยุทธ์การต่อสู้ป้องกันที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และใช้ได้ทันทีไม่ต้องรอฝึกฝนเป็นปีเหมือนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวชนิดอื่น

อาร์โนลด์ ดาร์กส ผู้ช่วยผู้สอน คราฟมากา ไทยแลนด์ อิน แบงค็อก (Krav Maga Thailand in Bangkok) เล่าความเป็นมาโดยย่นย่อว่า คราฟมากา มีต้นกำเนิดมาจาก อิมี่ ริชเทนเฟลด์ นายทหารอิสราเอล ที่พัฒนาเทคนิคการต่อสู้ป้องกันตัวขึ้นมาใหม่ โดยใช้จุดเด่นและท่าทางการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพของศิลปะการต่อสู้สายต่างๆ เข้าด้วยกัน

ออกแบบท่าต่อสู้ในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการต่อสู้มือเปล่าและการใช้อาวุธต่างๆ ไม่เพียงแต่อาวุธ ปืน มีด และดาบ หากในอนาคตมีอาวุธรูปแบบใหม่ๆ ออกมา เหล่ามาสเตอร์ของคราฟมากาก็จะคิดค้นวิธีการต่อสู้ป้องกันตัวจากอาวุธเหล่านี้ รวมไปถึงวิธีการใช้งานอาวุธให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับเจ้าหน้าที่ออกมาด้วย

“คนชอบคิดว่าคราฟมากา นั้นเหมือน เอ็มเอ็มเอ แต่ว่าที่จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เอ็มเอ็มเอเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่พัฒนาไปเป็นกีฬา แต่คราฟมากาคือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มุ่งเน้นการใช้งานในชีวิตจริง สถานการณ์จริง ที่เราอาจจะต้องเจอทั้งคนร้ายมือเปล่า ถืออาวุธ มีด ปืน หรือมาเป็นกลุ่มเพื่อรุมทำร้ายเรา เป็นการฝึกเพื่อป้องกันตัวเองโดยเฉพาะ” อาร์โนลด์ เล่า

พรโชค แซ่เล้า ผู้ช่วยผู้สอนอีกท่าน อธิบายเสริมว่า หลักการของคราฟมากามีหลักปฏิบัติสำคัญ คือ

1.หยุดภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในทันที เมื่อถูกคนร้ายคุกคามเราต้องรีบประเมินสถานการณ์ให้เร็วที่สุดและตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะทำให้ตัวเองรอดจากสถานการณ์นั้นอย่างปลอดภัย

2.ตอบโต้การกระทำด้วยท่าทางที่ดุดันก้าวร้าว หากเลือกเส้นทางตอบโต้คนร้ายต้องตอบโต้อย่างรุนแรง รวดเร็ว และเต็มกำลังในครั้งเดียว

3.หลีกเลี่ยงการติดพันโดยเร็วที่สุด เมื่อเริ่มลงมือแล้วต้องหยุดคนร้ายให้ได้ในครั้งเดียวและหนีให้ไกลเพื่อป้องกันตัวเอง

4.ตรวจสอบภัยคุกคามใหม่ที่อาจเกิดขึ้น บางครั้งเมื่อเราคิดว่าหยุดคนร้ายได้แล้วแต่เขาไม่ได้มีเพียงคนเดียว เมื่อล้มคนร้ายได้ให้รีบมองสิ่งแวดล้อมโดยรอบดูว่าอาจจะมีใครเป็นภัยคุกคามเราอีกหรือไม่ 

 “การฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวทั่วไปจะใช้เวลาในการฝึกฝนนาน อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีกว่าจะมีทักษะในการป้องกันตัวและความแข็งแรงของร่างกายที่ดีพอจะต่อสู้ป้องกันตัวเองได้ แต่สำหรับคราฟมากาแล้วจะใช้เวลาสั้นกว่า เพียงแค่ประมาณ 3-6 เดือน ก็จะมีทักษะในการป้องกันตัวเองได้แล้ว

คราฟมากา ตีโต้สยบภัยพาล

ฝึกเฉพาะสิ่งที่จะต้องใช้และความรู้ที่จำเป็นต่อการป้องกันตัว เพราะเอกลักษณ์ของคราฟมากา คือ การฝึกฝนเทคนิคป้องกันตัวจากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ และทดสอบพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ในชีวิตจริงอย่างมีประสิทธิภาพมาสอนเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ที่มีคนเอามีดมาจี้หลัง เราจะทำอย่างไรให้พ้นภัยจากตรงจุดนั้น ซึ่งก็จะมีท่าทางในการสอนเฉพาะหากคนร้ายมาในรูปแบบนี้จะต้องป้องกันตัวอย่างไร” พรโชค เล่าพร้อมสาธิตการฝึกคราฟมากาเบื้องต้น ซึ่งเต็มไปด้วยท่าทางการออกอาวุธใส่คนร้ายที่รวดเร็วและดุดัน จนจำไม่ได้ว่าคนร้ายโดนอะไรไปบ้างจนไปนอนกองอยู่กับพื้น

การฝึกคราฟมากาในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีการวอร์มร่างกาย แล้วเริ่มต้นฝึกทบทวนท่าที่ผ่านมาก่อนว่าผู้ฝึกยังจำได้ไหม แล้วค่อยเริ่มฝึกเคสอื่นๆ ต่อไป เพราะสำคัญตรงที่ผู้ฝึกจะต้องฝึกฝนซ้ำจนเกิดความทรงจำของกล้ามเนื้อ เมื่อถึงเวลาใช้งานจริงก็จะออกท่าทางป้องกันตัวได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากการฝึกศิลปะการต่อสู้อื่นๆ

ก่อนจบการฝึกของวันก็จะมีการทบทวนการฝึกอีกครั้งด้วยการปิดตาผู้ฝึก จำลองสถานการณ์ว่าหากคนร้ายเข้ามาในรูปแบบที่แตกต่างกันเราจะมีสติไวพอที่จะแก้สถานการณ์นั้นๆ ได้หรือไม่

พรโชค ทิ้งท้ายกับเราว่า “สิ่งที่เราพบมากที่สุดจากผู้ที่ได้รับการฝึกก็คือ เวลาฝึกทำได้ดีดูแล้วน่าจะนำไปใช้ได้ไม่ติดขัด แต่พอเวลาเจอสถานการณ์จริงตื่นเต้นลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่ทันตั้งตัว ที่ฝึกฝนมา ลืมหมด ดังนั้นการฝึกทบทวนแบบปิดตา เพื่อไม่ให้รู้ว่าผู้ฝึกจะต้องเจอกับอะไรและแก้ไขอย่างไรก็เป็นสิ่งสำคัญ และเวลาใช้จริงต้องรวดเร็วรุนแรงใช้แรงเต็มกำลังเพื่อให้คนร้ายชะงักล้มลงในเวลาไม่กี่วินาที

“เราจะเน้นย้ำเสมอก็คือวิธีคิด เพราะวิธีคิดเป็นสิ่งสำคัญในสถานการณ์จริงเราจะต้องวิเคราะห์ว่าเราจะต้องป้องกันตัวเองอย่างไร การป้องกันตัวมีหลายรูปแบบ เช่น หากมีคนมาจี้ชิงทรัพย์มากัน 2 คนดูแล้วประสงค์แค่จะเอาทรัพย์สินของเรา มันคุ้มไหมที่เราจะสู้ป้องกันทรัพย์สิน รักษาทรัพย์ไว้ได้แต่เราบาดเจ็บคุ้มไหม ถ้ายอมให้ไปแล้วตัวเราปลอดภัยไม่บาดเจ็บเสียแค่ทรัพย์ดีกว่าหรือเปล่า แบบไหนดีกว่ากัน ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือการทำอย่างไรก็ได้ให้พาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต เราฝึกวิธีป้องกันตัว แต่เราจะไม่สอนให้สู้ในทุกสถานการณ์ เพราะชีวิตเรามีค่าเกินกว่าจะไปเสี่ยงอันตราย”