posttoday

สุภาษิต 'ฝันข้าวฟ่าง' ความจริงของสิ่งที่ปรารถนาในชีวิต

12 กันยายน 2559

ราชวงศ์ถัง สมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง สมุหนายกหลูเซิงโดนใส่ร้ายต้องโทษกบฏ เขานั่งอยู่กับภรรยา

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ราชวงศ์ถัง สมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง สมุหนายกหลูเซิงโดนใส่ร้ายต้องโทษกบฏ เขานั่งอยู่กับภรรยาที่ใช้ชีวิตมาด้วยกันตั้งแต่สมัยยังไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ รำพึงว่า

“เดิมข้าอยู่ซานตง มีนาอยู่ 3 ไร่ ก็พอจะประทังชีวิตได้ แล้วทำไมข้าจะต้องมาใฝ่ฝันลาภยศสรรเสริญเช่นนี้ด้วยเล่า เมื่อมาถึงจุดนี้จะย้อนกลับไปใส่เสื้อผ้ามอมแมมเพราะต้องทำไร่ไถนา แต่สามารถขี่เจ้าม้าน้อยไปไหนมาไหนได้อิสระ ก็คงทำไม่ได้อีกแล้ว”

ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมา โชคดีที่ภรรยายื้อมือเขาไว้ได้ทัน

ชีวิตหลูเซิงเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาได้พบนักพรตเฒ่า...

หนุ่มน้อยชื่อหลูเซิงขี่ม้าเดินทางกลับไปทำไร่ไถนาที่บ้าน ระหว่างทางแวะพักเหนื่อยที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในโรงเตี๊ยมนอกจากเจ้าของก็มีนักพรตเฒ่านั่งอยู่ หลูเซิงนั่งสนทนากับนักพรตเฒ่าอย่างออกรส

ซักพัก หลูเซิงจึงมองไปที่เสื้อผ้าของตนที่ปุปะและเปรอะเปื้อน แล้วถอนหายใจพร้อมพูดว่า

“ลูกผู้ชายเกิดมาไม่ได้เป็นดังที่ตั้งใจหวัง ทำไมหนอชีวิตถึงได้เป็นซะอย่างนี้!” นักพรตว่า “ร่างกายเจ้าก็ดูแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัย ทำไมถึงพูดซะรันทด?”

หลูเซิงว่า “ชีวิตข้ามันก็ใช้ไปวันๆ จะมีอะไรเหมาะจะพูดได้อีก” นักพรตว่า “ชีวิตแบบนี้ไม่เป็นดังหวัง แบบไหนถึงเรียกว่าใช่อีกหละ”

“ก็ลูกผู้ชายมีสติปัญญามีความรู้ น่าจะได้มีโอกาสสร้างผลงาน ถ้าได้เป็นขุนนางก็ต้องให้ได้เป็นแม่ทัพหรือไม่ก็สมุหนายก ครอบครัวจะได้มีกินสุขสบาย ร่ำรวยเฟื่องฟู นี่สิชีวิตที่ควรเป็น”

“จะวิชาการหรือขี่ม้ายิงธนูข้าก็มีฝีมืออยู่ เรื่องเป็นขุนนางสำหรับข้าไม่น่าจะยากอะไร ตอนนี้ถึงวัยที่ต้องสร้างชื่อแล้ว แต่กลับยังทำไร่ไถนาอยู่ ไม่บ่นอึดอัดแล้วจะให้บ่นอะไรได้เล่า?”

ด้วยความเหนื่อยจากการทำงาน หลูเซิงพูดจบก็ตาปรือ เจ้าของโรงเตี๊ยมเพิ่งเริ่มเตรียมโจ๊กข้าวฟ่างหลูเซิงอยากจะหลับซักงีบ

นักพรตเฒ่าได้แต่ยิ้มลูบเครา หยิบหมอนขึ้นมาหนึ่งใบ บอกหลูเซิงว่านอนหมอนนี้ซักตื่นแล้วสิ่งที่เจ้าฝันจะเป็นจริง

หลูเซิงนอนหนุนหมอนที่ตั่ง จำได้ว่าฝันเห็นหลุมปลายทางสว่างประหลาดดึงดูดให้เขาเข้าไป แล้วก็ตื่นขึ้นมาซะก่อน จากนั้นก็กลับบ้านปกติ

ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เขาได้แต่งงานกับสาวผู้ดี หน้างดงาม ไร่นาที่เขาขยันไถหว่านก็มีผลผลิตสมบูรณ์

ชีวิตหลูเซิงดี๊ดี เมียสวยรถ(ม้า)หรูก็มีพร้อม สองปีต่อมาหลูเซิงยังสอบติดเป็นขุนนาง ได้สวมชุดข้าราชการอันทรงเกียรติกับเค้าแล้ว

จากตำแหน่งนายอำเภอ ซักพักก็ได้เลื่อนตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ผ่านไปอีกสามปี ก็ได้เป็นหัวหน้าข้าราชการส่วนท้องถิ่น วิถีชีวิตขุนนางของหลูเซิงดูเหมือนมีแต่ขาขึ้น

ฝีไม้ลายมือของหลูเซิงก็ใช่แค่คำอวดโอ้ เขาสร้างผลงานทั้งขุดสร้างทางน้ำ บุกเบิกเส้นทางให้ท้องถิ่น จนได้จารึกชื่อและคุณความดีไว้บนป้ายศิลา

เมื่อทั้งดีและดัง ฮ่องเต้จึงเรียกตัวเขาเข้าวัง ช่วงนั้นฮ่องเต้มีแผนกำราบชนกลุ่มน้อยขยายดินแดน อยากได้แม่ทัพที่ทั้งรับศึกได้และสามารถรวมใจประชาชน ดังนั้นจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพ

หลูเซิงเชี่ยวชาญทั้งบู๊บุ๋น กำราบชนกลุ่มน้อยสำเร็จ ขยายดินแดนได้ 900 ตารางลี้ สร้างเมืองหน้าด่านอีก 3 เมืองไว้ปกป้องดินแดนเถื่อนให้เป็นอาณาเขตราชวงศ์ถังได้โดยถาวร

ชาวบ้านชายแดนต่างชื่นชมแม่ทัพหลูเซิง ราชสำนักปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น จัดพิธีต้อนรับใหญ่โต ชื่อเสียงขจรขจาย ช่วงนั้นใครจะดังกว่าหลูเซิงเป็นไม่มี

แต่โดดเด่นมากก็ย่อมมีคนอิจฉา หลูเซิงถูกกลั่นแกล้งลดยศย้ายไปทำงานต่างจังหวัด แต่ด้วยฝีมือ หลังจากนั้นสามปี ฮ่องเต้ก็ย้ายเขากลับเข้ามาอีก และในที่สุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น 1 ใน 3 สมุหนายกแห่งราชวงศ์ถัง รับตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 10 ปีเต็ม

10 ปีที่ว่าเขาเสนอความคิดเห็น กลยุทธ์ทางทหาร และยุทธศาสตร์ชาติหลากหลายด้านที่เป็นประโยชน์แก่ฮ่องเต้ไม่เว้นวัน หลูเซิงได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนนางชั้นยอดของแผ่นดิน

แต่แล้วก็แพ้ภัยขันที เขาโดนขันทีใส่ร้ายว่าร่วมสมคบคิดกับแม่ทัพที่อยู่ชายแดนก่อกบฏ ทุกข์ใจจนแทบจะฆ่าตัวตาย แต่ก็รอดมาเพราะภรรยาห้ามไว้ทันตามที่เล่าไว้ข้างต้น

เพื่อนแม่ทัพผู้ถูกใส่ความถูกประหารไปสิ้น ยังดีที่เพื่อนขุนนางทั้งหลายทูลขอชีวิตเขาไว้ จึงแค่โดนเนรเทศ

ฟ้ายังมีตา ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นการใส่ความ จึงคืนตำแหน่งเสนาบดีให้กับหลูเซิง แถมยังให้ศักดินาเพิ่มเติมเพื่อชดเชย เขากลับมาได้รับความโปรดปรานเป็นอันมาก ลูกชายทุกคนของเขาก็ล้วนแต่มีความสามารถ รับราชการในตำแหน่งต่างๆ สะใภ้แต่ละนางก็ล้วนมาจากตระกูลของพระญาติ

ไม่กี่ปีหลูเซิงก็เข้าสู่วัยชรา หลูเซิงมักทูลขอลาออกจากตำแหน่งเพราะความเหน็ดเหนื่อย แต่เนื่องจากมีความสามารถและเป็นที่โปรดปราน ฮ่องเต้ไม่ทรงอนุมัติ แม้ป่วยไข้ ฮ่องเต้ก็ทรงให้หมอมีชื่อหายาขนานเอกมารักษาเป็นการพิเศษ

หลูเซิงรู้ตัวว่าใกล้ตายจึงได้ถวายฎีกาว่า “เดิมข้าอยู่ซานตง เป็นสามัญชนธรรมดา ทำไร่ไถนาสงบสุข เพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจึงได้เป็นขุนนาง พระองค์ก็ทรงเมตตาอย่างยิ่ง พระราชทานทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และสินทรัพย์ให้กระหม่อมและครอบครัว ชีวิตที่เนิ่นนานล้วนอุทิศให้แก่องค์ฮ่องเต้และราชสำนัก แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่โตกลับทำให้ข้าพเจ้ามีแต่เรื่องต้องกังวลใจมากขึ้น ไม่ทันได้รู้ตัวก็แก่เสียแล้ว ปีนี้เกิน 80 ชีวิตถึงบั้นปลาย เนื้อหนังและร่างกายได้แต่รอความตาย จึงขอยื่นฎีกาขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น”

ฮ่องเต้ตอบกลับด้วยเมตตา ชื่นชมในคุณงามความดีและเป็นห่วงเป็นใยในโรคภัยที่หลูเซิงต้องเผชิญ เมื่อได้รับพระราชโองการตอบ คืนนั้นชีวิตหลูเซิงก็ดับลง

หลูเซิงได้กลิ่นโจ๊กข้าวฟ่าง...

หลูเซิงก็ตื่นขึ้น มองเห็นเบื้องหน้าเป็นโรงเตี๊ยมที่เคยนั่งคุยกับนักพรตเฒ่าเมื่อยังหนุ่ม นักพรตเฒ่านั่งอยู่ข้างตั่ง โจ๊กข้าวฟ่างที่ต้มไว้กำลังหอมได้ที่ หลู่เซิงนึกขึ้นมาได้ทันที “หรือนี่เป็นแค่ฝันไป?”

นักพรตเฒ่ากล่าวว่า “ชีวิตคนที่มั่งมีรุ่งเรือง ก็มีอยู่เท่านี้แล” หลูเซิงนั่งขึ้นด้วยอารมณ์บอกไม่ถูกซักพัก แล้วก็ถูกถาโถมด้วยโศกเศร้าอาวรณ์อยู่ยาวนาน กล่าวว่า

“ไม่ว่าชีวิตที่ได้รับความโปรดปรานหรือสาปส่งราบรื่นหรือขลุกขลัก เหตุแห่งการได้รับหรือสูญเสีย อารมณ์แห่งการมีชีวิตหรือความตาย ท่านนักพรตได้ไขกระจ่างให้แก่ข้าแล้ว ข้าขอรับบทเรียนนี้จารึกไว้ในใจ” ว่าแล้วก็โขกคำนับลานักพรตเฒ่าแล้วจากไป

สุภาษิตจีน “ฝันข้าวฟ่าง” หมายถึงสิ่งสดสวยงดงามที่เราไขว่คว้าคาดหวังต่างประกอบด้วยทุกข์สุขปนเปกัน และที่สำคัญคือล้วนเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว

หลูเซิงโชคดี มีนักพรตมีหมอนวิเศษได้เห็นแจ้งตลอดทางในชีวิต

แต่จะว่าไปคนสมัยนี้ก็โชคดีกว่า เพราะได้เห็นมากกว่าที่หลูเซิงเห็น ทั้งจากสื่อส่วนรวมและสื่อส่วนตัว แถมในเหตุการณ์เดียวกัน ยังได้เห็นมุมมองแตกต่างที่ล้วนเมามัน เห็นภาพใหญ่ของกระแสแห่งสรรเสริญและนินทา รวมถึงเห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบแบบ Reality ของชีวิตที่หลากหลาย ก็มีอยู่เท่านี้แล

”แม้โชคดีกว่าหลูเซิง แต่หลายคนกลับยิ่งเมามันจมจ่อมอยู่ในฝัน กับบทบาทที่มีให้เล่นมากมายไปกันใหญ่ ได้เป็นผู้พิพากษา กองเชียร์ กองแช่ง จอมยุทธ์หรือจอมมาร จะมีมากน้อยเท่าไหร่หนอที่ตื่นขึ้นมาได้กลิ่นโจ๊กข้าวฟ่าง และมีโอกาสบอกกับนักพรตว่า “ได้รับบทเรียนจารึกไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว”

“ก็มีอยู่เท่านี้แล”