posttoday

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

27 ธันวาคม 2558

จุไรกาญจน์ ตระกูลเวช บริษัทที่ปรึกษาด้านการทำประชาสัมพันธ์ การสร้างแบรนด์ และจัดอีเวนต์ บริษัท มีเดีย พลัส

โดย...อณุสรา  ทองอุไร ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

จุไรกาญจน์ ตระกูลเวช บริษัทที่ปรึกษาด้านการทำประชาสัมพันธ์ การสร้างแบรนด์ และจัดอีเวนต์ บริษัท มีเดีย พลัส ในฐานะนักธุรกิจกับอีกบทบาทที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือการเป็นคุณแม่ของหนุ่มน้อยวัยละอ่อน นิโคลัส ชาคริต ไวท์ หนุ่มละอ่อนวัย 15 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล

เหตุเกิดเพราะนิโคลัสปิดเทอมเล็กเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เขากับเพื่อน 2 คน ขอเดินทางไปตามลำพังเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกที่ไม่ได้ไปกับครอบครัว แล้วเกิดไปป่วยรุนแรงอยู่ที่ญี่ปุ่นหลังจากเดินทางไปแค่ 2 วันเท่านั้น ปกตินิโคลัสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งกับครอบครัว แต่ด้วยความที่อยากจะลองเดินทางด้วยตัวเองตามลำพังกับเพื่อน 2 คนดูบ้าง

งานนี้คุณแม่จัดการเตรียมความพร้อมไว้ให้ทุกอย่างจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมไว้ให้ โดยหนุ่มน้อยตั้งใจจะไปทั้งหมด 7 วัน

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

“แม่ก็ไม่อยากให้ไปเลย เพราะคิดว่าเขายังเด็กเกินไป แต่คุณตาบอกว่าเด็กผู้ชายแล้วลูกครึ่งเขาก็จะมีความคิดที่ออกแนวชอบแอดเวนเจอร์ไม่อยากมาเกาะติดอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา พ่อเขาก็เคยบ่นว่าเลี้ยงลูกอย่าให้ประคบประหงมมากเกินไป คนไทยเลี้ยงลูกไม่ปล่อย ติดแม่เกินไป เราก็ลองดูแล้วกัน ใจไม่อยากให้ไปเองเลย” จุไรกาญจน์ กล่าวอย่างเป็นกังวล

แต่ในเมื่อลูกยืนยันหนักแน่นว่า เขาอยากไปและรับผิดชอบตัวเองได้ แล้วคิดว่าประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่ปลอดภัยไม่มีอันตรายอะไร อีกทั้งเขายังมีเพื่อนไปเรียนอยู่ที่นั่นด้วยแม่จึงจำนนด้วยเหตุผล จึงเตรียมการล่วงหน้ากันมาเดือนกว่า

แต่ปรากฏว่า 1 วันก่อนเดินทางเขาเหมือนไม่ค่อยสบาย ซึ่งปกติเขาก็เป็นภูมิแพ้อยู่บ่อยๆ อย่างแพ้อากาศ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรซีเรียส แม่ก็เตรียมพวกยาต่างๆ ให้เขาเตรียมไปด้วย

พอเขาเดินทางไปถึงญี่ปุ่นตอนบ่ายๆ อากาศมันคงเปลี่ยนปุ๊บปั๊บ จากประเทศไทยร้อนๆพอไปถึงญี่ปุ่นมันหนาวทันที แล้วอากาศในเครื่องบินก็มีความชื้นสูง

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

พอลงจากเครื่องเธอก็ให้ลูกชายคอยไลน์มาบอกว่าถึงไหน ทำอะไรอยู่บ้าง ลูกชายก็ไลน์บอกว่าถึงแล้ว เอาของไปเก็บที่โรงแรมแล้วก็เดินลุยเลย ไม่ยอมนั่งรถไฟใต้ดินด้วย เดินฝ่าอากาศหนาวกับเพื่อนตั้งแต่บ่ายจนค่ำ

“ตอนนั้นเขาบ่นเจ็บคอ แล้วลูกชายนี่ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ กินน้ำน้อย อากาศบนเครื่องบินแห้งอีก แล้วมีประวัติภูมิแพ้ ก็เลยเจ็บคอง่าย ก็เตือนกันไปแล้วว่าพยายามดื่มน้ำเยอะๆ นะลูก ตอนแรกก็ไม่มีอะไร พอกลางคืนเขาเข้าโรงแรมก็ไลน์มาบอกว่าเหมือนจะมีไข้อ่อนๆ แม่ก็บอกงั้นให้รีบนอนแต่หัวค่ำ แต่ถ้าตัวร้อนมากอาการไม่ดีให้ไลน์มาบอกแม่ พอวันรุ่งขึ้นเขาก็มีไข้สูง ให้เขาหาปรอทมาวัดไข้ ปรากฏว่าไข้ขึ้นสูงถึง 39-40 องศา แม่ก็หาข้อมูลโรงพยาบาลว่าที่ไหนใกล้โรงแรมที่ลูกพักอยู่ที่สุดและเป็นโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่เก่งทางด้านโรคเขตร้อนและมีบุคลากรที่พอพูดภาษาอังกฤษได้”

จุไรกาญจน์ ได้ชื่อโรงพยาบาลมาก็ไลน์บอกลูกให้นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลนี้ทันที ก็คิดว่าคงไปหาหมอแล้วคงไม่มีอะไร ก็บอกลูกและเพื่อนที่เขาไปด้วยว่ามีอะไรให้โทรหาแม่ทันที โชคดีที่เธอทำประกันการเดินทางไปให้ลูกด้วย จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก

วันที่สองที่ลูกชายไปแล้วเริ่มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกก็ยังไม่กังวลมาก ก็คิดว่ามีไข้เจ็บคอ อาการคล้ายหวัดไม่น่ามีอะไรรุนแรง โดยเธอก็เอาโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมเวลาที่ลูกติดต่อเข้ามา ปรากฏว่าลูกก็เงียบหายไปเกือบ 2 วัน แม่ก็เริ่มกังวลแล้ว

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

ในที่สุดหลังจากลูกนอนโรงพยาบาลอยู่ 2 คืน ทางสถานทูตไทยก็โทรมาบอกว่าคุณแม่ต้องไป เพราะโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นไม่สามารถทำการรักษาอะไรได้เนื่องจากผู้ป่วยอายุเพียง 15 ปี ต้องให้ผู้ปกครองมาเซ็นรับรองหรือเซ็นอนุญาตก่อน และลูกมีอาการไข้ขึ้นสูงติดเชื้อ

เธอ เล่าว่า พอสถานทูตโทรมาแจ้งให้แม่ต้องไป นี่ใจหายวูบคิดว่าไม่ธรรมดาแล้ว เป็นเคสซีเรียสแน่นอน เลยหาตั๋วไปทันที แล้วโทรหาหมอประจำที่รักษาลูกมาตั้งแต่เด็กเล่าให้เขาฟัง หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ขอโทรปรึกษาเพื่อขอความเห็นที่สอง

เธอรีบเดินทางไปทันที โดยให้คุณตาคุณยายคอยประสานงานกับคุณหมอทางนี้ เมื่อเธอไปถึงก็เอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมแล้วไปหาลูกชาย

“พอไปถึงห้องที่ลูกชายพักนี่แม่ผงะเลย เป็นห้องคนไข้แบบอนาถา เปิดประตูห้องไปนี่เหม็นคาวน้ำเหลือง เหม็นหนองอักเสบคลุ้งไปหมดเลย เพราะลูกทอนซิลอักเสบระบบที่คอจนมีอาการติดเชื้อ แล้วเป็นโรงพยาบาลรัฐ ไม่มีเจ้าของไข้ เขาก็ไม่ทำอะไรให้เลยนอกจากให้ยาลดไข้ คือไม่เช็ดตัว ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าคนไข้ให้ ลูกเข้าไปชุดไหนก็นอนชุดนั้นอยู่ 3 วัน ไม่ได้เช็ดตัว ไม่ได้แปรงฟัน ซึ่งโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นถ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าจะต้องจ่ายเพิ่มจะมีพยาบาลมาเช็ดตัวเฝ้าไข้ต้องจ้างเพิ่ม ไม่เหมือนกับโรงพยาบาลบ้านเรา พยาบาลเขาจะมาแค่เปลี่ยนสายน้ำเกลือเท่านั้น แม่นี่เห็นสภาพลูกแล้วผงะเลยน่าตกใจมาก” เธอกล่าวอย่างกังวล

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

หลังจากนั้นเธอก็จัดการเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า แปรงฟัน สระผมให้ลูก ขอย้ายไปห้องพิเศษ ลูกกินอะไรไม่ได้ เพราะเขาเจ็บคอมากจนกลืนน้ำลายหรือน้ำยังไม่ได้เลย

เธอจึงไปซื้อยาพ่นแก้เจ็บคอที่มีฤทธิ์ให้คอลิ้นชา แล้วป้อนน้ำซุปเต้าหู้ให้ลูก ป้อนไข่ตุ๋นให้ลูก จนลูกเริ่มมีอาการไข้ลด แต่ก็ยังนอนซึมตลอดเวลา มีเพ้อพูดอะไรแปลกๆ ออกมา

สิ่งที่แตกต่างคือโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น ถ้าเด็กต่ำกว่า 18 ปีไม่มีผู้ปกครองมาเขาจะไม่ทำอะไรให้เลย แค่รอดูอาการไปเรื่อยๆ ไม่รักษา แล้วเขาจะไม่รักษาโรคบนพื้นฐานของการคาดเดาว่าน่าจะเป็นทอนซิลอักเสบ น่าจะติดเชื้อติดแบคทีเรีย เขาจะขอเอกซเรย์แบบสแกน CT เลย ซึ่งเธอก็โทรปรึกษาหมอประจำตัวของลูก เขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องถึงขั้น CT เลย แต่หมอที่ญี่ปุ่นไม่ยอม เขาบอกขอสแกนเฉพาะช่วงคอ ไม่งั้นก็ไม่รักษา เขาจะรักษาจากพื้นฐานข้อมูลที่ได้มาจริงที่อ้างอิงได้ไม่ประมาณการ ไม่คาดเดาเด็ดขาด แล้วก็ไม่ยอมให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยจนกว่าจะไข้ลดในระดับปกติถึง 3 วันแล้ว นี่ลูกก็อยู่โรงพยาบาลมา 5 วัน โดยที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังเลย เธอเกรงว่าโรคจะลุกลามจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด

“ไงล่ะ แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดแม่ก็ต้องยอมให้ ไม่งั้นหมอก็จะไม่ยอมรักษาอะไร ได้แต่ประคับประคองอาการ ถ้าทำแบบนั้นลูกจะต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 วีก โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แม่เองก็ห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจจะบานปลายมากเกินไป จึงยอมให้เขาเอาลูกเข้า CT ก็บ้านเขาเราก็ต้องยอมรับกติกาในการรักษาตามมาตรฐานของบ้านเขานี่นะ“ เธอเล่าอย่างเพลียในอารมณ์

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

ผลการ CT สแกนคอ ผลออกมาปรากฏว่าเจอตับบวม ต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อ สาเหตุมาจากเขาติดไวรัสและแบคทีเรีย พร้อมกันที่คอจนต่อมทอมซิลอักเสบ ซึ่งปกติมันจะไม่ติดพร้อมกันระหว่างไวรัสกับแบคทีเรีย มันจะเจอแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะลูกชายไม่ค่อยสบายเล็กน้อยก่อนการเดินทาง เขาเคยเป็นภูมิแพ้อากาศมาก่อนด้วย ประกอบกับมาจากประเทศไทยอากาศยังร้อนมาถึงญี่ปุ่นอาการเย็นฉับพลัน ร่างกายที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วเลยวีกง่าย พอเจ็บคอลูกชายไม่ค่อยดื่มน้ำแล้วมาเดินฝ่าลมหนาว มันก็เลยลุกลาม แล้วเด็กๆ มากันสองคนไม่รู้จักดูแลตัวเอง และเด็กผู้ชายด้วย คิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองไหว ลุยเที่ยวทันทีไม่อยากเสียเวลา

การเจ็บป่วยครั้งนี้ ถ้าเกิดขึ้นที่บ้านเรา มันก็จะไม่มีอะไรรุนแรง แนวทางการรักษาของแพทย์เราก็จะไม่ยุ่งยากวุ่นวายเท่านี้ แต่เพราะไปป่วยในต่างประเทศ ความยุ่งยากต่างๆ จึงตามมาเยอะ ทั้งการสื่อสารภาษา ธรรมเนียมในการรักษา วัฒนธรรมในการรักษาก็แตกต่างกันมากจริงๆ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้โรคธรรมดากลายเป็นโรครุนแรงขึ้นมาได้

ทอนซิลอักเสบ เกือบคร่าชีวิตหนุ่มน้อย

 

สรุปแล้ว ลูกอยู่โรงพยาบาลประมาณ 8-9 วัน หมดค่ารักษาไปประมาณ 2 ล้านเยนเศษๆ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบ 3 แสนบาท แล้วเรื่องสำคัญที่อยากจะพูด ก็คือแม้ว่าเราจะทำประกันการเดินทางแล้วก็ตาม

ถึงอย่างไร ก็ต้องมีเงินสำรองออกไปก่อน ประกันในต่างแดนไม่ใช่จะมีตัวแทนมาจัดการให้ทันที เขาก็อำนวยความสะดวกให้พอสมควร แต่ที่สุดเราก็ต้องทำเองเสียเป็นส่วนใหญ่

“แม่สำรองจ่ายไปก่อน ลูกป่วยตั้งแต่เดือน ต.ค. นี่เดือน ธ.ค.ก็ยังไม่ได้รับเงินเคลียร์จากประกันเลย เขาต้องตรวจสอบนั่นนี่ มีขบวนการใช้เวลาเยอะค่ะ ไม่ง่ายๆ หรอก แล้วก็ใช่ว่าจะจ่ายครบทั้งหมดนะ ต้องมีเงื่อนไขโน่นนี่นั่นอีกสารพัด ดีที่สุดคือเราต้องระมัดระวังตัวเองไว้ อย่าให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นล่ะดีที่สุด” เธอให้ข้อคิด

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ จุไรกาญจน์ ให้ข้อคิดว่า การเลี้ยงลูกนี่ต้องมีสายกลางปล่อยมากก็ไม่ดี อย่างกรณีของลูกชายของเธอ เขาเป็นลูกครึ่ง เขาจะมีความคิดแบบฝรั่งเยอะมาก พอแม่ห่วงห้ามปราม เขาจะคิดว่าอย่าขีดเส้นเขามาก เขาอยากมีอิสระ เขาจะมองว่าคุณแม่คุณตาคุณยายเลี้ยงเขาแบบสไตล์ไทยเกินไป ประคมประหงมเขาเกินไป

“พอครั้งนี้เราก็ได้ให้บทเรียนแก่ลูกว่า ลูกคิดว่าลูกเป็นผู้ใหญ่ ลูกคิดว่าดูแลตัวเองได้ คิดว่าเป็นผู้ใหญ่พอรับผิดชอบตัวเองได้ นั่นคือสิ่งที่ลูกคิด แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ยังไม่ถึงเวลา แถมยังมีปัจจัยที่อยู่เหนือการคาดเดา เหนือการควบคุมต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ที่มองลูกด้วย ลูกต้องให้เหตุการณ์นี้สอนบทเรียนแก่ลูก อย่าให้อะไรผ่านไปโดยลูกไม่ได้บทเรียนอะไรเลย เขาก็รับฟังมากขึ้น บางครั้งคือต้องให้ปัญหาเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนแม่สอนว่าไฟมันร้อนนะ ลูกอย่าไปเล่น เขาจะไม่เชื่อ งั้นลองให้ไฟรนมือดูบ้าง พอเขารู้ว่ามันร้อน มันเจ็บจริง เขาถึงจะระวังตัว เขาถึงจะกลัว เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน เขาสงบลงไปเยอะ บางทีต้องแลกเพื่อจะได้สอนเขาแบบโดนใจ” คุณแม่เล่าถึงบทเรียนอันมีค่าให้ฟัง

เธอยังเล่าถึงเหตุการณ์แปลกให้ฟังว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลูกชายดื้อมากแม่มีแต่เรื่องปวดหัว เลยมีคนไปเช่าเหรียญกุมารทองจากวัดดังแถวสมุทรสาครมาให้ ชื่อจุกกะจันทิมา เธอก็เอาไว้ที่บ้านแล้วก็วางไว้แถวหิ้งพระ ก็อธิษฐานว่าขอให้ลูกเลี้ยงง่าย อย่ามีตัวตนสูงอย่ามั่นใจมากนักเลย ก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์อะไร ตอนลูกป่วยก็บอกว่าพี่จุกพี่จันทิมา (หัวเราะ) ตามไปดูแลน้องด้วยนะ

“ตอนลูกป่วยแล้วแม่ยังไปไม่ถึง เขาบอกมีเด็กมาวิ่งเล่นเสียงดังปลายเตียง พอบ่นหนาวก็มีเด็กมาห่มผ้าให้ มีคนมาชวนไปข้างนอก เด็ก 2 คนนั้นบอกไม่ให้ไป รอแม่ก่อนเดี๋ยวแม่มา เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาไข้ขึ้นจนเพ้อหรือเปล่า แม่เองก็ฟันธงอะไรไม่ได้ แต่อะไรช่วยให้ลูกดีขึ้นปลอดภัยแม่ก็ยินดี ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ก็แล้วกันนะ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

บทเรียนจากประสบการณ์ครั้งนี้ คือ การเลี้ยงลูกแบบไทยๆ นี่ล่ะเหมาะสมที่สุด ถ้าแม่คิดว่าลูกยังไม่โตพอที่จะรับผิดชอบ ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ก็อย่าปล่อยลูกออกไปไกลบ้านไกลเมือง แม้ลูกจะยืนกรานอย่างไรก็ตาม ให้แม่เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่าลูกเราได้แค่ไหนที่เขาจะรับผิดชอบได้ อาจจะขัดใจกันบ้างก็ต้องยอม