posttoday

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

12 เมษายน 2558

ในแวดวงละคร โฆษณา คงมีหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดี สำหรับ หนึ่ง-วิทิตนันท์ โรจนพานิช

โดย...อณุสรา  ทองอุไร ภาพบุคคล วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี/ภาพเอเวอเรสต์ วิทิตนันท์ โรจนพานิช

ในแวดวงละคร โฆษณา คงมีหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดี สำหรับ หนึ่ง-วิทิตนันท์ โรจนพานิช เพราะเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหลายอย่าง เพราะเขาเป็นนักเขียน ผู้เขียนบท ผู้กำกับนักแสดง ทั้งละครเวทีและละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ ผู้ฝึกสอนการแสดง และกับบทบาทใหม่ที่เขาพยายามจะทำให้สำเร็จก็คือเป็นนักปีนเขาที่สูงที่สุดในโลก แม้เขาจะรู้ว่า การขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ ไม่ใช่การเฉียดตาย ทว่าคุณได้ตายไปแล้วต่างหาก นั่นคือคำกล่าวของเอ็ดมันด์ ฮิลลารี ผู้ชายคนแรกที่ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จเมื่อวันที่  29 พ.ค. 2496 ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นคำที่เขาใช้เตือนสติตัวเองอยู่เสมอ

สำหรับคนไทยเองมีหลายคนที่พยายามที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่ยังไม่มีใครสำเร็จ ทำได้เพียงไปที่เบสแคมป์ที่ 3  ความสูง 7,300  เมตรเท่านั้น (มีทั้งหมด 4 เบสแคมป์ แคมป์ที่ 4 ความสูง 8,000 เมตร)

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

แต่เขาคนนี้ทำสำเร็จได้ในที่สุดเมื่อปี 2551 เขาเป็นคนไทยคนแรกที่ปีนขึ้นสู่ยอดเอเวอเรสต์สำเร็จเมื่อวันที่  22 พ.ค. เวลา 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศเนปาล นับเป็นครั้งแรกของโลกที่พระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และธงไตรรงค์ของไทยได้โบกสะบัดบนจุดสูงสุดของโลกพร้อมกับเพลงสรรเสริญพระบารมี

จุดประกายท้าฝัน

เขาเล่าถึงแรงบันดาลใจในการจุดประกายกล้าท้าฝันบากบั่นสู่จุดสูงสุดของโลก ด้วยเหตุว่า “ผมอยากเห็นคนไทยขึ้นไปยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกบ้าง ก่อนหน้านี้มีคนเอเชียที่ทำได้คือ คู สวี เชาว์ ชาวสิงคโปร์คนแรกที่ขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์สำเร็จเมื่อปี 2541

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

สิ่งแรกที่กระตุ้นความคิดของเขา เพราะเห็นว่ามีคนเอเชียใกล้บ้านเราอย่างคนสิงคโปร์ทำได้ คนไทยก็น่าจะทำได้เช่นกันแต่นั่นยังไม่มากพอ สิ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจของเขาก็คือ “ถ้าผมทำได้สำเร็จเกียรตินี้ก็มิใช่เพื่อตัวผมเอง แต่ผมต้องการจะมอบให้แก่ท่านผู้เป็นที่รัก เป็นที่เทิดทูนมาตลอดชีวิต ในหลวงของปวงชนชาวไทยพ่อของแผ่นดิน อยากทำเพื่อถวายท่านตั้งแต่เกิดมาก็เห็นในหลวงทรงทำอะไรมากมายเพื่อคนไทย เห็นแบบนั้นแล้วก็รู้ว่าท่านรักพวกเรา ท่านยังทรงทำอย่างนั้นไม่ว่าท่านจะประสบปัญหาอะไร อย่างเช่นตอนที่ท่านประชวร แล้วเข้ารับถวายการรักษาที่ รพ.ศิริราช ตอนนั้นฝนตกน้ำท่วมท่านยังทรงหอบงานไปทำที่ รพ. ถามว่างานนี้ท่านทำเพื่อใครถ้าไม่ใช่เพื่อพวกเราทุกคน เวลาบ้านเมืองเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจากทางธรรมชาติหรือจากคนแก่งแย่งผลประโยชน์ของชาติ พระองค์ก็ต้องทรงออกมาแก้ไขทุกครั้งไป”

จึงคิดว่าถ้าผมสามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติได้บ้าง พระองค์คงจะทรงพอพระทัยมีความสุขที่ได้เห็นพสกนิกรของท่านสร้างชื่อให้ประเทศได้บ้าง นี่คงเป็นสิ่งที่ผมสามารถช่วยประเทศชาติได้ในแบบของผม เพราะฉะนั้นการขึ้นเอเวอเรสต์ของผมครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการชอบผจญภัย ตื่นเต้นท้าทาย “แต่แรงบันดาลใจที่สำคัญสุดยอดก็คือ ความตั้งใจนำพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นไปชูบนจุดที่สูงที่สุดในโลก และได้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีบนนั้น” เขากล่าวอย่างตื้นตันใจ

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ท้าฝันบากบั่นสู่จุดสูงสุด

แม้โครงการจะสะดุดเป็นช่วงๆ เพราะหาผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่ได้ หลายอย่างไม่ลงตัวยืดเยื้อมาเป็นแรมปี แต่เขาก็สามารถผลักดันทำจนสำเร็จ

แม้การปีนป่ายต้องผจญกับอุปสรรคมากมายจากเบสแคมป์ ที่ระดับความสูง 5,364 เมตร ไปจนถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ นักปีนเขาจะต้องเดินขึ้น-ลง ไป-กลับ ไต่ผ่านธารน้ำแข็ง ข้ามโตรกลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาแรมเดือน เจอพายุหิมะ เพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้คุ้นชินกับภูมิประเทศอันโหดร้ายท้าทายนี้ให้ได้มากที่สุด

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

มีนักปีนเขาจากทั่วโลกเดินทางมาเพื่อจะพาตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุดของพื้นพิภพแห่งนี้แล้วนับไม่ถ้วนแต่มีเพียง 3,700 คน จากราวๆ 63 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนานัปการขึ้นสู่ยอดเขานี้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันขุนเขาแห่งนี้ก็กลืนกินชีวิตของผู้ท้าทายเหล่านี้ไปแล้วไม่น้อยกว่า 200 คน เป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตที่ต้องแลกด้วยชีวิตกันเลย

ซ้อมให้หนักปรับร่างกายและจิตใจ

แม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่รักการผจญภัยมาเป็นทุนเดิม แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนภูเขาสูงมาก่อนตอนเป็นวัยรุ่น  ไม่เคยรู้จักหรือข้องเกี่ยวกับกิจกรรมกลางแจ้งอย่างการปีนเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขามีความเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว ถ้ามัวแต่รอผัดวันประกันพรุ่ง รอโอกาส รอจังหวะ หรือรอใครอาจจะสายเกินไป แล้วสุดท้ายอาจจะไม่ได้ทำ

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

“สูงสุดที่ผมเคยขึ้นก็คือภูเขาทองแค่นั้นเอง (หัวเราะ) ดังนั้นพอมีความคิดที่จะปีนเอเวอเรสต์ ผมต้องเตรียมตัวอยู่ 3-4 ปี เริ่มจากเตรียมร่างกาย ออกกำลังกายอย่างหนัก ซ้อมเดิน เดินจากบ้านที่อยู่ลาดพร้าวมาตึกแกรมมี่ที่ซอยอโศกอยู่ประมาณครึ่งปีเดินไปเดินกลับไม่ขึ้นรถ วิ่งขึ้นตึกบันยันทรีสูงเกือบ 60 ชั้น โดยมีเป้ที่ใส่ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร อีก 8 ขวดวิ่งแบบนี้อาทิตย์ละ 3-4 วันอยู่ครึ่งปี แล้วก็ไปปรับร่างกายด้วยการปีนเขาที่อื่นๆ ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึง 4 ครั้ง เป็นการซ้อมอยู่ 1 ปี ระหว่างนั้นก็ทำเรื่องขอสปอนเซอร์ควบคู่ไปด้วย”

บททดสอบหฤโหดก่อนขึ้นเอเวอเรสต์

หลังจากที่ประสบปัญหาในการหาผู้อุปถัมภ์การเดินทางทั้งคณะกว่า 5 ล้านบาท เขาได้รายการทีวีที่ประเทศเวียดนามในการหาสปอนเซอร์และขอถ่ายทอดเป็นรายการเรียลิตี้ตลอด 1 ปีเต็ม  เดือน ต.ค. 2550 เขาและทีมงานได้เริ่มดำเนินการเรียลิตี้โชว์ ชื่อรายการ Vietnam Spirit to the word คัดเลือกผู้ร่วมรายการให้ติดตามไปด้วย 20 คนที่ผ่านการทดสอบอย่างเคร่งครัด แบบแพ้คัดออกจนเหลือไปปีนเอเวอเรสต์เพียง 4 คน

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

เริ่มจากยอดเขาแรกที่สูงที่สุดในประเทศเวียดนาม ชื่อเขาฟานสิปาน ความสูง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเล ได้รับสมญานามว่าหลังคาแห่งอินโดจีน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามที่ติดกับประเทศจีน ไม่ใช่ยอดเขาที่จะได้พิชิตกันได้ง่ายๆ เพราะเป็นป่ารกชัฏแถมมีอากาศที่ชื้นแฉะมาก

ภูเขาลูกที่ 2 คือคินาบาลู ภูเขาหินแกรนิตทางตอนเหนือของเกาะบอเนียวในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ความสูง 4,095 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นเพียง 3-4 วัน แต่ก็อาจจะทำให้นักปีนเขาปวดหัวอย่างรุนแรงได้อันเป็นอาการเบื้องต้นของโรคแพ้ความสูง

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ยอดที่ 3 ขึ้นเมื่อเดือน พ.ย. 2550 พวกเขาไปปีนที่เขาคิลิมันจาโร ภูเขาที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแทนซาเนีย เป็นยอดเขาสูงที่สุดของแอฟริกา ความสูง 5,895 เมตร ที่มีหิมะปกคลุมยอดเกือบตลอดทั้งปี จนได้รับสมญานามว่ามงกุฎสีขาวแห่งกาฬทวีป และยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 ของยอดสูงสุดของเจ็ดคาบสมุทร ที่นักปีนเขาทั่วโลกหมายใจว่าจะต้องไปถึงสักครั้งในชีวิต

ลูกที่ 4 เมื่อ มี.ค. 2551 ไอส์แลนด์พีก ได้รับสมญานามว่าเป็นพรมแดนสุดท้ายก่อนถึงเอเวอเรสต์ ด้วยความสูง 6,189 เมตร บนเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันออกในประเทศเนปาล ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไม่ไกลนัก การขึ้นยอดเขานี้เพื่อให้ทุกคนในทีมได้มีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคขั้นสูงที่จำเป็นในการปีนเขา เช่น ได้ลองใช้เชือกในรูปแบบต่างๆ การใช้อุปกรณ์รัดดึงตัว เพื่อฝึกให้คุ้นกับอุปสรรคนานัปการที่ต้องเจอบนยอดเขาสูง เพราะยอดเขานี้มีความใกล้เคียงกับเอเวอเรสต์มากและเส้นทางเริ่มของเอเวอเรสต์กับไอส์แลนด์พีก คือจุดเดียวกันคือไปที่ลุกลาใช้เส้นทางเดียวกันไปจนถึงดิงโบเช จากนั้นถึงทางแยกว่าจะเลือกไปที่ใด ถ้าจะไปเอเวอเรสต์แยกไปทางซ้าย ใครที่จะไปปีนเอเวอเรสต์ต้องมาซ้อมที่นี่ก่อน

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ฝันไกลต้องไปให้ถึง

หลังจากเขาใช้เวลา 8 เดือน ในการซ้อมไต่ระดับมาถึง 4 ภูเขาก่อนไปปีนเอเวอเรสต์จริงๆ เพื่อทดสอบร่างกาย ในที่สุดถึงเวลาที่เขาและทีมจะพาตัวเองขึ้นสู่อ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย ณ จุดที่สูงที่สุดในโลก แม้รู้อยู่ว่าหนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเอเวอเรสต์ได้กลืนกินชีวิตและดับฝันนักปีนเขามาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะมีหลายคนที่ไปแล้วไม่ได้กลับ Everest the place of no return อมตะวาจาที่จะต้องสำนึกเตือนใจไว้ตลอดเวลา

วิทิตนันท์ เล่าว่า วันที่ 10 พ.ค. 2551 เขาและทีมตั้งใจจะใช้เส้นทางปีนขึ้นเอเวอเรสต์ด้านเหนือในเขตทิเบต เพราะเส้นทางด้านนี้ขึ้นง่ายกว่าไม่สูงชันเท่าด้านทิศใต้ในเขตประเทศเนปาล อีกทั้งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตก็ถูกกว่าด้วย แต่โชคไม่ดีทางการจีนประกาศปิดเส้นทางขึ้นเอเวอเรสต์ด้านนี้พอดีในตอนนั้น เพราะจีนกำลังจัดโอลิมปิกปี 2008 เขาระวังเรื่องความปลอดภัย ถือว่ามีเหตุการณ์เหนือการควบคุมตั้งแต่เริ่มแรกเลย ทีมเราจึงยุ่งยากขึ้นมาทันที ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น พอเปลี่ยนจะไปขึ้นด้านเนปาลก็เจอปัญหาอีกเพราะเขากำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ สถานที่ราชการปิดทำการ ต้องปรับแผนกันครั้งใหญ่เลยทีนี้

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ข่าวไม่ดีที่ได้รับ บวกกับร่างกายที่อ่อนล้าจากการวิ่งเต้นปรับแผน แถมอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกาฐมัณฑุทำเอาเขาจับไข้ อ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายไม่พร้อม แผนการต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ผมจะท้อให้ทีมเห็นไม่ได้เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ เพราะฝันของผมมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว

ในที่สุดการเดินทางก็ได้เริ่มขึ้นจากจุดเริ่มจนได้ โดยอาการไข้ของเขาก็ยังไม่สร่างซา จึงต้องพักผ่อน 1 คืนเต็มๆ ก่อนขึ้นเบสแคมป์แต่ก็ดีขึ้นเพราะเป็นเส้นทางที่เริ่มคุ้นเคยเพราะมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว บนเส้นทางได้พบนักปีนเขาจากหลายชาติหลายภาษา จนบางคนสนิทสนมชวนร่วมเดินทางไปด้วยกันก็มี การพบเจอคนบนเส้นทางนี้อดคิดเล่นๆ ว่าเหมือนตลาดนัดนักปีนเขาจริงๆ บางครั้งถึงกับต้องช่วงชิงที่พักกันเลยก็มี การขึ้นเขาที่มีความสูงมากๆ จะมีเบสแคมป์เป็นจุดที่พักสำคัญๆ เป็นระยะๆ และทั้ง 4 เบสแคมป์ของเอเวอเรสต์ก็ตั้งอยู่ในระดับที่มีความสูงมาก อากาศเบาบาง การขึ้นสู่แต่ละแคมป์นักปีนเขาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขึ้นไปปรับตัวให้ชินกับความสูงเป็นระยะๆ และตลอดทางเราจะต้องเจอพายุหิมะกันนานนับชั่วโมงก็มี ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนที่วางไว้เป๊ะๆ เลย

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

21 พ.ค. 2551 เวลา 2 ทุ่ม พวกเราเริ่มออกเดินทางจากแคมป์ที่ 4 ท่ามกลางความมืดมิดและอากาศที่หนาวจับขั้วหัวใจ เป็นการเดินไต่ความสูงอย่างเดียวเป็นเวลา 3 ชม. การเดินทางช่วงต่อไปปีนขึ้นไปบนน้ำแข็งที่แสนลื่นและเย็นเฉียบ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้หนทางนี้ช่างยาวไกลและไร้ที่สิ้นสุด กระทั่งตี 4 พวกเราขึ้นถึงไหล่เขาของเอเวอเรสต์ที่เรียกว่าบัลโคนี ระหว่างทางผมเจอซากศพของร่างไร้วิญญาณของนักปีนเขา(ผู้ที่เสียชีวิตบนนี้หากญาติจะนำศพกลับไปต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท) ถึง 4-5 ศพ ทั้งชาวอเมริกัน ชาวยุโรป และเชอร์ปาลูกหาบชาวเนปาลเองก็มี นี่คือเหล่าผู้กล้าที่ไต่มาจนเกือบถึงฝั่งฝันแต่ไม่ได้กลับลงไป

ช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดที่เรียกว่าฮิลลารี เสต็ป ความสูง 8,771 เมตรเป็นบริเวณที่โหดที่สุด มีระยะทางเพียง 80 เมตร แต่ก็เป็นจุดที่มีอุบัติเหตุบ่อยๆ ผมเองก็เกือบไปเหมือนกัน เพราะทางแคบมากเดินได้ทีละคนเท่านั้น แต่จู่ๆ มีฝรั่งโผล่มาจากไหนไม่รู้กระแทกอย่างแรงจนผมหงายหลังร่วงออกไปนอกทางทันที ทุกคนตกใจคิดว่าผมไม่รอดแน่หากพลัดตกลงไป ดีที่ผมเกี่ยวเชือกนิรภัยไว้ทันร่วงปุ๊บคว้าเชือกไว้ได้รีบโหนตัวกลับขึ้นมา

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

“ผมโมโหสุดขีด พอขึ้นมาได้ผมจึงผลักอกเขาอย่างแรง เขาถอดหน้ากากหายใจออก แล้วหันมามองผมแบบคนเบลอๆ แบบคนครึ่งหลับครึ่งตื่น นั่นคงเพราะเขาอดนอนมาหลายชั่วโมงเพลียและเขาคงเริ่มเบลอจากแพ้ความสูงด้วยผมเลยให้อภัย”

พอผ่านมาได้ผมมองไปรอบๆ จะเห็นทะเลภูเขาอยู่รายรอบเบื้องล่างสวยงามตระการตา เป็นภาพอันยิ่งใหญ่น่าประทับใจที่ได้เห็นพร้อมๆ กับการก้าวถึงยอดเอเวอเรสต์จุดสูงสุดของโลก ราวๆ 8 โมงเช้าวันที่ 22 พ.ค. 2551 ที่ความสูง 8,848 เมตร อากาศเบาบางระดับออกซิเจนเพียง 6.9 เปอร์เซ็นต์ ผมถอดหน้ากากช่วยหายใจออก ค่อยๆ หยิบพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงขึ้นมาชูเหนือศีรษะ ฝรั่งที่ยืนข้างๆ ถามว่าใครพ่อคุณหรือ ผมตอบด้วยน้ำตาว่าพ่อของคนไทยทั้งชาติ ผมคิดในใจว่าทำสำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่รอดลงไปข้างล่างก็ตายตาหลับแล้ว เสร็จแล้วผมก็คลี่ธงชาติไทยที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระเทพฯ ขึ้นชูเหนือศีรษะ มองไปรอบๆ ราวแดนสวรรค์จริงๆ

ท้องฟ้าใสเพียงครู่เดียว เมฆหมอกเริ่มปกคลุมหิมะเริ่มโปรยปราย อุณหภูมิลดต่ำอย่างรวดเร็ว เชอร์ปาเร่งเราให้รีบกลับลงไปก่อนพายุหิมะจะมาผมรีบร้องเพลงสรรเสริญด้วยความตื้นตันน้ำตาเอ่อไหล หิมะตกหนักขึ้นผมรีบลงทันทีเมื่อร้องจบ แม้อยากจะถ่ายรูปแบบพานอรามาไว้ก็ยังไม่ทัน แต่ทุกภาพนั้นติดตราตรึงใจผมไว้อย่างไม่มีวันลืม

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง

 

ฝันไกล ต้องไปให้ถึง