posttoday

จงรื่นรมย์…

25 มกราคม 2558

มีนักมานุษยวิทยาท่านหนึ่งให้เด็กชาวแอฟริกันเผ่าหนึ่งเล่นเกม โดยเขาวางตะกร้าผลไม้ไว้ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

มีนักมานุษยวิทยาท่านหนึ่งให้เด็กชาวแอฟริกันเผ่าหนึ่งเล่นเกม โดยเขาวางตะกร้าผลไม้ไว้ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วให้พวกเด็กๆ ยืนห่างออกไปประมาณ 100 เมตร จากนั้นจึงตะโกนบอกว่า ใครที่มาถึงตะกร้าก่อนจะได้ผลไม้ที่อยู่ในนั้นทั้งหมด เมื่อเขาบอกว่าเตรียมตัว วิ่ง!! สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ เด็กเล็กๆ พวกนี้พากันจับมือและวิ่งตรงไปยังต้นไม้ด้วยกัน แล้วแบ่งปันผลไม้ในตะกร้ากินอย่างมีความสุข เมื่อนักมานุษยวิทยาถามว่า ทำไมพวกเธอถึงทำอย่างนั้น? พวกเด็กๆ บอกว่า “Ubuntu” ซึ่งมีความหมายว่า “เราจะมีความสุขไปได้อย่างไร ถ้าคนอื่นๆ ยังมีความทุกข์” Ubuntu ในภาษาของพวกเขามีความหมายว่า “มีฉันเพราะมีเรา!”

เรื่องราวที่อ่านแล้ว ชวนรู้สึกอิ่มหัวใจเรื่องนี้ได้ถูกส่งต่อผ่านในไลน์กรุ๊ปของฉัน และเชื่อว่าใครก็ตามหากได้อ่านเรื่องนี้เข้าคงรู้สึกไม่ต่างกัน แต่มากกว่านั้นที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็คือ ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดสะท้อนถึง
ตัวเอง และผู้คนในสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ตามมา ซึ่งบริบทนั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนน่าตกใจ ตัวอย่างง่ายๆ ที่เราทุกคนพอเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือภาพหลากหลายชีวิตที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในแต่ละวัน ซึ่งล้วนแสดงออกถึงความคิดในใจว่า “มีฉันเท่านั้นก็พอ!” ดังนั้นการมีปากมีเสียงทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นใช้กำลังกันแค่เพราะเรื่องขับรถปาดหน้า ขับแทรก เบียดเลน จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินความเป็นจริงเลย คำว่า “รู้จักแบ่งปันกัน” ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะกลายเป็นคำที่เราจะนึกถึงได้ช้าทันที เมื่อตัวเองอยู่หลังพวงมาลัยไปแล้ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ซึ่งจำนวนรถยนต์ที่วิ่งนั้นมีมากเกินจำนวนถนนที่รองรับอยู่เช่นทุกวันนี้

หากจะถามว่าอะไร? ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ฉันคิดว่าเป็นเรื่องของการให้ค่ากับคำว่า “ความเร็ว” มากจนเกินไป เพราะโลกหมุนเร็ว-ความเร็วจึงหมายถึงโอกาสในการได้มาในสิ่งที่ต้องการ ผลตามมาคือเราจึงร้อนรนเพื่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าหรือที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ผสมผสานกับค่านิยมที่ส่งเสริมคำว่า “มาก” แทนที่จะเป็นคำว่า “สมดุล” ด้วยแล้ว อัตลักษณ์ของทุกคนจึงเปลี่ยนแปลงไปในทางหยาบกระด้างมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโดยพื้นฐานนั้นเราควรเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติเป็นความดีงามอยู่ในตัว หากมีการกระตุ้นที่ถูกต้อง หรือได้รับการปลูกฝังทัศนคติในเชิงบวกให้เกิดขึ้นมากพอ การแบ่งปัน การจับมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หรือการมีสุขมีทุกข์ไปพร้อมๆ กัน ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นอุดมคติหรือแค่โลกในนิทานเท่านั้น แต่มันสามารถพบเห็นหรือสัมผัสได้จริงเช่นในสังคมของเด็กแอฟริกันกลุ่มนี้ที่เรื่องราวของพวกเขาได้ถูกแชร์กันต่อๆ มา เปรียบได้กับดอกไม้งามที่ผลิบาน แต่งแต้มสีสันสู่โลกภายนอก แม้จะไม่มากมาย แต่ก็มากพอที่ทำให้รู้สึกว่าโลกใบนี้ยังคงมีความรื่นรมย์หลงเหลืออยู่

กฤษณมูรติ เคยกล่าวไว้ว่า มีแต่จิตใจที่กว้างขวาง ว่างเปล่า และเป็นอิสระกระจ่างใสดุจกระจกเงาเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าใจสาระสำคัญที่แท้จริงของชีวิตได้ มันจะทำให้เราตระหนักว่าแท้จริงแล้ว โลกคือสถานที่ที่ดีงาม เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่ของทุกๆ คน การทำให้ผู้อื่นสบายใจย่อมสะท้อนกลับมาเป็นความสบายใจของเราด้วยเช่นกัน แม้เราจะมีไม่มาก แต่ด้วยหัวใจที่กว้างขวางและไม่ขาดแคลน เราจะมีความพอเพียงและความเต็มในจิตวิญญาณและสามารถนำศักยภาพเหล่านี้ไปเรียนรู้และใช้ชีวิตกับผู้คนรอบข้างได้อย่างอ่อนน้อม เอื้ออาทร พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่รายล้อมอย่างสง่างามและสอดคล้องสมดุล เมื่อเราเป็นผู้มีมากเราก็อยากจะแบ่งปันให้กับผู้มีน้อย เมื่อเป็นผู้ขายก็เข้าใจหัวอกผู้ซื้อ เป็นผู้ปกครองก็จะเข้าใจผู้ถูกปกครอง เป็นนายจ้างจะคิดถึงลูกจ้าง เป็นครูก็จะเข้าใจบทบาทที่ควรมีต่อนักเรียน ฯลฯ และความดีงามเหล่านี้ก็จะถูกส่งมอบในมุมกลับเช่นเดียวกัน ไม่ว่าคุณนั้นจะเป็นใคร หรืออยู่ในสถานะใดก็ตาม

‘Alone I can ‘Say’ but together we can ‘talk’

‘Alone I can ‘Enjoy’ but together we can ‘Celebrate’

‘Alone I can ‘Smile’ but together we can ‘Laugh’

That’s the BEAUTY of Human Relations

We are nothing without each other

เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน แล้วโลกที่รายล้อมคุณก็จะรื่นรมย์เองค่ะ