posttoday

ทุนนิยม ?

27 กรกฎาคม 2557

ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1979

โดย...วีรณัฐ โรจนประภา มูลนิธิบ้านอารีย์

ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1979 อันเป็นจุดเริ่มต้นของโลกาภิวัตน์ ที่วัตน์นี้สะกดด้วย “ต” ไม่ใช่ “ฒ” อย่างที่หลายคนสะกดผิดเป็นโลกาภิวัฒน์ และไปเข้าใจถึงวัฒนา พัฒนา จนคิดว่าโลกจะเจริญอย่างอภิมหาศาลมากมายจนหลงทางฝันประมาทจนมิได้เตรียมตัวรองรับกัน และปีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่นี้ก็ด้วยเพราะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นเทคโนโลยีดิจิทัลที่พื้นฐานของสรรพสิ่งถูกแปลงจากลักษณะของคลื่นหรืออนา

ล็อกมาเป็นแท่งหรือเลขฐาน 2 ทำให้การจัดการ จัดเก็บ ส่งต่อเป็นไปได้อย่างสะดวกไร้ขีดจำกัด และยิ่งมาประกอบกับเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำยิ่งยวดอย่างไฟเบอร์ออปติก สายเคเบิลใยแก้วที่ถูกค้นพบออกมาอย่างได้จังหวะ ทำให้การเชื่อมต่อ ส่งต่อข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเกินจินตนาการยิ่ง ส่งผลให้สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ถูกพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด แต่ท่ามกลางสภาพที่เหมือนที่จะมีแต่ความเจริญอย่างหยุดไม่อยู่นั้น อีกมุมหนึ่งโลกก็ได้แสดงความเสื่อมให้เห็นอย่างรั้งไม่ไหวขึ้นเช่นกัน

ทั่วโลกประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ทั่วโลกประสบปัญหาสังคมที่หนักหนา ทั่วโลกเผชิญกับภัยพิบัติที่เรียกได้เต็มปากว่ามหาภัยพิบัติ ทั้งหมดสร้างความสูญเสียขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งปัญหาทั้งปวงไม่เว้นแม้แต่ภัยจากธรรมชาติที่น่าจะเป็นเรื่องของธรรมชาตินั้นหากสาวหาสาเหตุเข้าจริงๆ กลับล้วนมีสาเหตุมาจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น เพราะมนุษย์ไปเบียดบังธรรมชาติมาก มากจนเกินกว่าที่ธรรมชาติจะรักษาสมดุลได้ ผลคือ ธรรมชาติที่เอียงกระเท่จากฝีมือมนุษย์จนการเอียงนั้นทำให้ธรรมชาติจำต้องปรับตัวเพื่อให้ระบบกลับมาสมดุลอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จนก่อเกิดเป็นภัยพิบัติขึ้น

เปรียบไปคล้ายกับนักกายกรรมที่แสดงโชว์ชุดหมุนจานบนปลายแท่งเหล็กที่หากหมุนได้สมดุลจานนั้นก็ยังคงหมุนได้อย่างต่อเนื่องสวยงามเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมทั้งโรงละคร แต่เมื่อใดที่จานเอียงเสียสมดุล จานย่อมตกจากปลายแท่งตกพื้นแตกกระจายเรียกเสียงกรี๊ดตกใจจากผู้ชมเช่นกัน และหากเจาะลึกลงไปอีกก็อาจระบุได้ว่าสาเหตุของความเสื่อมทรามทั้งปวงนั้นล้วนเกิดจากความโลภที่ไม่มีจำกัดของมนุษย์นั่นเอง ความโลภที่เป็นต้นตอให้ธรรมชาติเสียสมดุลจนก่อเกิดมหันตภัยและความโลภที่ทำให้สังคมเสียสมดุลจนก่อเกิดปัญหาสังคมอย่างรุนแรง

เมื่อมนุษย์เบียดเบียนกันจนสังคมเสียสมดุล บางส่วนโป่งพองขยายใหญ่เอาๆ ขณะที่บางส่วนถูกบีบให้ต่ำต้อยจากความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ การเข้าถึงและถือครองทรัพยากรอันจำกัดของโลก ทำให้สังคมเกิดไหวไม่ต่างจากการเกิดแผ่นดินไหว สังคมเกิดสึนามิไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ซัดฝั่ง เพื่อปรับให้สมดุลสังคมนั้นกลับมาเช่นกัน

ปี ค.ศ. 1979 เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างรวดเร็วนี้ แต่ถ้าสาวให้ไกลขึ้นจะเห็นว่าสถานการณ์นี้มีจุดเปลี่ยนสำคัญมาก่อนแล้ว นั่นคือ ตั้งแต่สมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มนุษย์ได้เปลี่ยนจากการแลกเปลี่ยนสินค้าไปสู่ระบบใหม่ที่เรียกว่า “ทุนนิยม” ซึ่งใช้เวลาไม่นานเลยที่ระบบนี้ได้กลายเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วจนเป็นเหมือนระบบเดียวที่โลก “ต้อง” ใช้ พอเกิดมาก็ถูกสอนให้ทำงานให้ร่ำรวย โดยอาจไม่เฉลียวใจเลยว่ากำลังถูกสอนให้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ได้สะดุดใจเลยว่าปัญหาทุกชนิดที่กล่าวมาแล้วนั้นมาจากรากของวิธีคิดแบบนี้นี่เอง

ดังนั้น มนุษย์ทั้งในฐานะที่เป็นผู้ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาจึงไม่ควรนั่งมองดูปัญหาที่เกิดขึ้นเฉยๆ มนุษย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบ มิเช่นนั้นก็จะเป็นมนุษย์นั่นเองที่อยู่กันอย่างสุขสบายตามหวังไม่ได้ นั่นทำให้บรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นนักลงทุน นักธุรกิจระดับต่างๆ ที่เริ่มเห็นว่าหากมนุษย์ผู้อื่นหรือสังคมอยู่ไม่ได้ ธุรกิจของเขาหรือตัวเขาก็ย่อมอยู่ไม่ได้ เพราะหากไม่มีลูกค้าหรือลูกค้าไม่มีกำลังซื้อแล้วบริษัทจะผลิตสินค้าไปขายใครกัน จนเกิดแนวคิดการทำ Corporation Social Responsibility หรือการรับผิดชอบสังคมขึ้น จนต่อมาได้กลายมาเป็นกลยุทธ์หลักกลยุทธ์หนึ่งของธุรกิจในปัจจุบัน

แต่แม้โดยคร่าว CSR นี้น่าจะเป็นเรื่องดี แต่อาจเป็นเพราะการกระทำนั้นจำนวนมากยังมาจากพื้นฐานของความโลภ คือ เพื่อเพิ่มหรือรักษาผลประโยชน์ของตน ทำให้ CSR ขาดพลังที่จะช่วยสังคมได้จริง เป็นเพียงเสมือนการปรับตัวทางการบริหารทั่วๆ ไปที่จากสมัยหนึ่งที่เคยลงทุนในเครื่องจักร หันมาลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ มาลงทุนในบุคลากร จนมาถึง CSR ซึ่งเหมือนเป็นการลงทุนในลูกค้านั่นเอง และนั่นทำให้สภาพปัญหาในโลกยังมิได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด กลับทั้งยังทวีความเสื่อมทรามยิ่งขึ้น เพราะโครงการความดีต่างๆ กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของความโลภไปอย่างไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

หน้าที่ของมนุษย์ขณะนี้จึงเป็นการแสวงหาเครื่องมือชิ้นใหม่ที่จะนำมาซึ่งการแก้ทุกปัญหาในโลกนี้ได้อย่างแท้จริงหรืออย่างน้อยก็เฉลียวใจว่าระบบทุนนิยมที่ใช้อยู่นี้มิใช่ระบบที่ดีที่สุด และไม่ใช่ระบบเดียวที่โลกมี จำเป็นด้วยหรือที่เกิดมาก็จะเชื่อกันเลยว่าจะต้องใช้ชีวิตทำงานหรือลงทุนขายสินค้าเพื่อให้คนอื่นเอาเงินมาให้เรา เอาเงินมาหาซื้อสุขตามความเชื่อของทุนนิยม เป็นไปได้ไหมว่าจะเกิดมาใช้ชีวิตทำงานและลงทุนให้ “ความสุข” คนอื่นและให้คนอื่นจ่าย “ความสุข” คืนแก่เรา

โลกเคยผิดด้วยการใช้กันแต่ GDP จนวันนี้เริ่มหันมามอง GNH แล้วทำไมโลกถึงจะผิดอีกไม่ได้ ผิดจากที่เคยเชื่อว่าจะต้องลงทุนด้วยเงินเพื่อเงินมาเป็น ลงทุนให้ความสุขเพื่อความสุข