posttoday

จิตวิญญาณแห่งคานธี

07 พฤศจิกายน 2553

ในทำเนียบนามแห่งบุคคลของโลกมีชื่อของ “มหาตมะ คานธี” อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบุคคลระดับรัฐบุรุษของโลกหลายคน มีพลังแห่งแรงบันดาลใจที่ตกทอดมาจากคานธีอย่างไม่ต้องสงสัย....

ในทำเนียบนามแห่งบุคคลของโลกมีชื่อของ “มหาตมะ คานธี” อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบุคคลระดับรัฐบุรุษของโลกหลายคน มีพลังแห่งแรงบันดาลใจที่ตกทอดมาจากคานธีอย่างไม่ต้องสงสัย....

เรื่อง ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ในทำเนียบนามแห่งบุคคลของโลกมีชื่อของ “มหาตมะ คานธี” อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบุคคลระดับรัฐบุรุษของโลกหลายคน มีพลังแห่งแรงบันดาลใจที่ตกทอดมาจากคานธีอย่างไม่ต้องสงสัย

บุคคลอย่างมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนียร์ เนลสัน แมนเดลา อองซานซูจี หรือผู้นำแห่งยุคสมัยของวันนี้อย่างบารัก โอบามา ฯลฯ

เขาเหล่านี้ล้วนเคยเอ่ยอ้างว่าได้รับอิทธิพลทางความคิดทางการเมือง ทางจิตวิญญาณมาจากมหาตมะ คานธี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวถึงมหาตมะ คานธีว่า

“คงเป็นการยากที่อนุชนคนรุ่นหลังจะเชื่อว่า มนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาอย่างคานธี เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ”

จิตวิญญาณแห่งคานธี

รพินทรนาถ ฐากูร มหากวี ผู้นำทางจิตวิญญาณของอินเดีย และผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ที่มีชื่อเสียงก้องโลก คือ ผู้ขนานนามให้กับชายร่างเล็ก แต่งตัวปอนๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่อย่างโมหันทาส การามจันทร์ คานธีว่า

“มหาตมะ คานธี”

มหาตมะ แปลว่า “ผู้มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง” หรือ “ผู้มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่”

โมหันทาส การามจันทร์ คานธี สำคัญอย่างไร จึงได้รับการขนานนามให้เป็น “มหาตมะ” ที่คนทั้งประเทศอินเดียและทั่วโลกต่างซ้องสาธุการ

- คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในสหภาพแอฟริกาใต้ ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลผิวขาวด้วยสันติวิธี จนรัฐบาลผิวขาวต้องยอมคืน “สิทธิแห่งความเป็นคน” ให้แก่ชาวผิวดำและผิวขาวอย่างเท่าเทียม

- คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในบ้านเกิดของตัวเอง ลุกขึ้นมาเรียกร้องอิสรภาพให้กับแผ่นดินถิ่นเกิดด้วยสันติวิธี จนในที่สุดประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักรต้องยอมคืนอิสรภาพให้แก่ประชาชนชาวอินเดียทั้งชาติ

- คานธี คือ ผู้ที่มีส่วนอย่างมีนัยสำคัญในการก่อร่างสร้างประเทศอินเดียขึ้นมาให้เป็นปึกแผ่น จนอินเดียกลายเป็นประเทศเอกราชที่มีรากฐานทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

- คานธี คือ ผู้ที่นำเอาศาสนากับการเมืองเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรามีความเชื่อกันว่าสองสิ่งนี้จะต้องแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่คานธีไม่เชื่อเช่นนั้น ท่านยืนยันว่า

“ผู้ที่พูดว่าศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้นเป็นผู้ที่ไม่ทราบความหมายของศาสนา สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนา เป็นเรื่องของความโสมมที่ควรสละละทิ้งเสียเป็นอย่างยิ่ง การเมืองเป็นเรื่องของประเทศชาติ และเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของประเทศชาตินั้นต้องเป็นเรื่องของผู้ที่มีศีลธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนำเอาศาสนจักรไปสถาปนาไว้ในวงการการเมืองด้วย”

- คานธี คือ ผู้ที่นำเอาสันติวิธีมาเป็นเครื่องมือในการทำงานทางการเมืองจนประสบความสำเร็จและส่งอิทธิพลไปทั่วโลก สันติวิธีที่ท่านใช้นั้นท่านเรียกว่า “อหิงสธรรม” หรือ Non-Violence และ/หรือ “สัตยาเคราะห์” คำสอนเรื่องอหิงสาอันเป็นชุดจริยธรรมที่เก่าแก่ดั่งขุนเขาที่มีอยู่คู่โลกมาแต่บุราณนั้นเป็นรูปธรรมขึ้นมาอย่างมีความหมายก็เพราะคานธีนำมาใช้อย่างแยบคาย หากคานธีไม่นำอหิงสธรรมมาประยุกต์ใช้ คำสอนส่วนสำคัญที่สุดประการหนึ่งของสินธูธรรมหรือพุทธธรรม ก็คงจะเป็นเพียงถ้อยคำอันสวยหรูที่มีชีวิตอยู่แต่ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

- คานธี เป็นนักการศาสนาที่ใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือในการค้นหาความจริงของชีวิต และในขณะที่ตนค้นหาความจริงของชีวิตนั้น ท่านก็ช่วยเหลือเกื้อกูลให้คนอื่นได้ค้นพบความจริงนั้นร่วมกันกับตนเองด้วย

- คานธี เป็นนักคิด นักปรัชญา นักเขียนที่มีความคิดคมคายยิ่ง ถ้อยธรรมกถาของท่านได้รับการเอ่ยอ้างถึงไปทั่วโลก ไม้เว้นแม้แต่ในภาพยนตร์ของฮอลลีวูด สุนทรพจน์ครั้งสำคัญๆ ของท่าน ข้อเขียนในบทความหลายชิ้น ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ท่านเป็นนักคิดที่ปราดเปรื่อง เป็นนักปรัชญาที่ลุ่มลึก และเป็นนักเขียนที่แหลมคม สุนทรกถาที่ชาวโลกรู้จักเป็นอย่างดีเช่น

“ทรัพยากรในโลกมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนละโมบเพียงคนเดียว” หรือบาป 7 ประการ ที่ว่า

“เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด
ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรม
วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ”

- เหนืออื่นใดคานธีเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ทำภารกิจสูงส่งต่อมนุษยชาติ ทว่ากลับทำตัวต่ำต้อยอย่างยิ่ง ภาพชินตาที่ทุกคนนึกถึงเมื่อเอ่ยอ้างถึงท่านก็คือ ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นุ่งเจียม ห่มเจียม สมถะ สันโดษ มีศีลมีสัตย์ หนักแน่นในสัจจะ ลอยอยู่เหนือกองผลประโยชน์ทั้งปวง แม้ทั่วโลกยกย่อง แต่ท่านกลับถ่อมตัวต่ำติดดินดังท่านเขียนถึงตัวเองว่า

“ข้าพเจ้านั้นหาใช่เป็นนายไม่ หากแต่เป็นคนรับใช้ของอินเดียและของมนุษยชาติโดยผ่านการเป็นคนรับใช้ของอินเดียอีกทีหนึ่ง และเป็นคนรับใช้ที่เจียมใจ เจียมกาย คนรับใช้ที่เพียรดิ้นรนทนต่อสู้ และ (ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่) ถึงอย่างไรก็ยังหนีความผิดพลาดบกพร่องไปไม่พ้น...”

“ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่ยากจน ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในโลกนี้ มีกงล้อปั่นด้าย 6 เครื่อง จานรับประทานอาหารตั้งแต่อยู่ในคุก 1 ใบ กระป๋องใส่นมแพะ 1 ใบ ผ้านุ่งโธตี และผ้าเช็ดตัวทอด้วยมือ 6 ชิ้น นอกนั้นก็มีแต่ชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวดหรือความหมายอะไร”

ในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง คานธีย่อมไม่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน แต่ผู้เขียนไม่ถนัดในการมองหาความบกพร่องของผู้อื่น จึงขอเอ่ยถึงเฉพาะด้านที่ควรเจริญรอยตามของคานธีเป็นสำคัญคุณูปการโดยสังเขป แห่งบาปูจีที่กล่าวมานี้ คือ รากฐานอันมั่นคงที่ทำให้ปฏิมาแห่ง “มหาตมะ คานธี” สถิตอย่างมั่นคงอยู่ในใจของคนเรือนล้านทั่วโลกจากอดีตสู่ปัจจุบัน และจากปัจจุบันสู่อนาคต

สำหรับประชาชาติอินเดียแล้ว คานธี ไม่เพียงแต่เป็น “มหาตมะ” เท่านั้น ทว่าท่านยังเป็น “บาปูจี” หรือ “บิดาของประชาชาติ” อีกด้วย

ไม่ง่ายเลยที่ในรอบร้อยปี จะมีคนอย่างมหาตมะ คานธี เกิดขึ้นมาในโลก