posttoday

4 เคล็ดลับ สุขภาพดี-อายุยืน

10 มกราคม 2562

หากชีวิตยามเช้าของคุณต้องเริ่มจากตกใจตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก แล้วรีบลุกพรวดพราดจากที่นอน

เรื่อง ภาดนุ ภาพ Pixabay

หากชีวิตยามเช้าของคุณต้องเริ่มจากตกใจตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก แล้วรีบลุกพรวดพราดจากที่นอน เพื่อจัดการกับธุระยามเช้าให้ทันเวลาอย่างเร่งรีบทุกวัน ก็คงทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมา จนอาจส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม และเกิดความ
เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ตามมา

เอาเป็นว่า ลองเปลี่ยนชีวิตประจำวันของคุณให้สบายขึ้น ด้วยการเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อช่วยให้รู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉง เพราะเมื่อร่างกายและจิตใจแข็งแรงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บที่คอยบั่นทอนชีวิตเราย่อมต้องพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน ลองไปดู 4 เคล็ดลับที่นำมาฝากนี้สิ

1.สร้างช่วงเวลายามเช้าที่ดีให้ตัวเอง

ถ้าคุณปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเช่น ต้องออกจากบ้าน 7 โมงเช้า แล้วคุณตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 06.30 น. เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถจะอาบน้ำ แต่งตัว และออกจากบ้านได้ทันเวลา ดังนั้น ขอใช้เวลาก่อนหน้านั้นนอนให้ได้มากที่สุดไว้ก่อน ลองเปลี่ยนมาเป็นตื่นให้เช้าขึ้นอีกนิดเพื่อชีวิตที่ดีกว่า คุณเคยได้ยินคำว่า “The Early Bird Catches The Worm” หรือ “ผู้ที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ” บ้างมั้ย?ในยามเช้าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขสงบ มีบรรยากาศที่สดชื่น ซึ่งจะช่วยให้สมองของเราปลอดโปร่ง สามารถคิดแผนการต่างๆ ที่คุณอยากจะทำในแต่ละวันหรืออยากทำในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น และการเผื่อเวลาตื่นให้เช้าขึ้นนี้จะทำให้ชีวิตของคุณไม่ต้องเร่งรีบมากนัก แถมยังมีเวลาทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งส่งเสริมให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้อีกด้วย

ทิปส์ : รู้มั้ยว่าการลุกพรวดพราดจากที่นอนจะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เนื่องจากเลือดไหลไปเลี้ยงสมองไม่ทัน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ ดังนั้น เมื่อตื่นนอนแล้วควรลืมตาให้หายงัวเงียสัก 2-3 นาที แล้วลุกขึ้นนั่งอีก 2-3 นาที จากนั้นค่อยลุกไปทำอย่างอื่นต่อ

2.ยืดเส้นยืดสายเป็นประจำทุกวัน

ยามเช้าการงัดตัวเองออกมาจากที่นอน สำหรับหลายๆ คนถือว่าเป็นเรื่องยาก แค่ขอใช้เวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อที่จะนอนกระวนกระวายต่อไปก็พอใจแล้ว นี่แหละจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณตื่นสาย ลองเปลี่ยนเอาเวลา 5 นาทีที่ขอนอนต่ออีกนิด มายืดเส้นยืดสายด้วยท่าง่ายๆ กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น และทำให้ร่างกายพร้อมที่จะทำตามหน้าที่ของมันจะดีกว่า

การยืดเส้นยืดสายง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขน

- ยืนตัวตรง แยกเท้าทั้งสองข้างให้ขนานกับหัวไหล่

- ปล่อยมือสองข้างไว้ข้างลำตัว โดยให้นิ้วมือชิดกันและหันฝ่ามือไปข้างหลัง

- แขม่วท้อง ยืนยึดพื้นให้แน่น โดยจิกปลายนิ้วเท้ากับพื้นให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง

- อย่าเกร็งร่างกาย ใบหน้าตั้งตรง
มองไปข้างหน้า

- แกว่งแขนไปด้านหน้า ให้ทำมุมกับร่างกาย 30 องศา แล้วแกว่งต่อไปทางทางด้านหลังให้ทำมุมกับร่างกาย 60 องศา

ทิปส์ : การยืดเส้นยืดสายด้วยการแกว่งแขน เป็นท่ากายบริหารที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อคิดค้นขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลมภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การแกว่งแขนยังช่วยรักษาโรคบางอย่างได้ด้วย

3.ควบคุมการขับถ่ายให้เป็นเวลา

การขับถ่ายอุจจาระเป็นการกำจัดสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการออกไป เมื่อคุณต้องกินอาหารทุกวัน มันก็ไม่แปลกที่จะมีกากอาหารเหลือจากระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการและจำเป็นต้องกำจัดออกไปทุกวันเช่นกัน แล้วเวลาของการขับถ่ายควรจะเป็นช่วงไหนดีล่ะ

เวลาทำงานของลำไส้ใหญ่จะอยู่ในช่วงตี 5-7 โมงเช้า ซึ่งถ้าถึงเวลาแล้วคุณยังไม่ทำธุระของคุณ ปล่อยปละละเลยจนมาถึงช่วง 9 โมงเช้า ที่เป็นช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะอาหาร แล้วคุณเองเป็นคนที่ไม่ชอบกินอาหารเช้าอีก ร่างกายของคุณก็จะนำกากอาหารเก่า (อุจจาระ) ที่ยังอยู่ในร่างกายกลับมาดูดซึมใหม่อีกครั้ง โดยกากอาหารเก่านี้จะมีก๊าซพิษที่เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายอยู่ ดังนั้นเมื่อก๊าซพิษเหล่านี้ถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ผลที่ตามมาก็คือ คุณจะรู้สึกอ่อนล้า ไม่สดชื่น และมันยังทำให้คุณมีกลิ่นตัวและกลิ่นปากโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

นอกจากนี้ ถ้าคุณไม่ถ่ายอุจจาระติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใน 1 สัปดาห์ถ่ายอุจจาระไม่เกิน 3 ครั้ง คุณก็จะมีอาการท้องอืด ท้องผูกและเสี่ยงต่อการเกิดโรคในระบบขับถ่ายได้

4.อาหารเช้านั้นสำคัญที่สุด

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนในยุคนี้ โดยเฉพาะในยามเช้า ทำให้หลายคนต้องพลาดมื้อเช้า ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดไป ไม่เชื่อลองคำนวณระยะห่างของเวลาที่คุณกินมื้อเย็น กับกว่าที่จะได้กินมื้อเช้าดูนะ สมมติว่าคุณกินมื้อเย็นตอน 6 โมงเย็นเป็นมื้อสุดท้ายของวัน แล้วคุณกินอาหารมื้อแรกของวันตอน 7 โมงเช้า แสดงว่าร่างกายคุณไม่ได้รับอาหารถึง 12 ชม. ซึ่งจะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วถ้าคุณรวบมื้อเช้าไปไว้กับมื้อกลางวัน (12.00 น.) ก็บวกไปอีก 5 ชม. รวมเป็น 17 ชม.เชียวนะ ฉะนั้นคุณจะมีแรงอยู่ได้ยังไง

ช่วงเวลาของอาหารเช้าคือ 7-9 ชม. ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวัน ที่จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน และที่สำคัญยังช่วยบำรุงสมองของคุณอีกด้วย ฉะนั้นถ้าในช่วงเช้าของคุณมีเวลาไม่มากนัก ลองมองหาอาหารเช้าจานด่วนที่ทรงคุณค่ามาเป็นตัวช่วยของคุณ เช่น แซนด์วิชสารพัดไส้ ซีเรียลกับนมสดเพิ่มผลไม้ โยเกิร์ตกับผลไม้สด ขนมปังโฮลวีตปิ้งทาแยมหรือเนย และสมูทตี้ ซึ่งอาหารเหล่านี้ใช้เวลาทำไม่ถึง 5 นาทีก็กินได้เลย