posttoday

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

18 พฤศจิกายน 2561

ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอน

โดย อณุสรา ทองอุไร ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน 

ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอน ก็คือความแน่นอน นี่เป็นเรื่องจริงแท้ที่ทุกคนต้องพบเจอ โดยเฉพาะเรื่องของ ความแก่ ความเจ็บป่วย เป็นของฟรีที่ไม่มีใครอยากได้ หลีกหนีอย่างไรก็ไม่พ้น เพราะมันเป็นความนิรันดร์ที่ทุกท่านต้องเจอ ที่จริงแท้ยิ่งกว่าก็คือ ใช่ว่าต้องแก่แล้วถึงจะป่วย มันไม่จริงเสมอไป เพราะเดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาว วัย 30-40 ก็มีสิทธิ์เจ็บป่วยได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเขาคนนี้

บูรณ์-สมบูรณ์ พุกชาญค้า ชายหนุ่มวัย 40 ปลายๆ ก่อนหน้านี้เขากำลังมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ กำลังจะเก็บเงินให้เป็นกอบเป็นกำจากอาชีพเชฟประจำร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาเดินทางไปทำงานที่นั่นได้เพียงแค่ 2-3 ปีเท่านั้น เขาเป็นเชฟฝีมือดี นานเกือบ 10 ปี โดยเขาไปทำร้านอาหารตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ฝึกปรือนานหลายปีจนได้เป็นเชฟให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจ้าของเป็นคนอิสราเอล เขาหวังว่าจะทำงานเก็บเงินอีกสักระยะ ก่อนที่จะกลับมาปักหลักมาปลูกบ้านให้ลูกที่ประเทศไทย

ทว่าเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาเขาก็เริ่มป่วย (ประมาณปี 2014) เริ่มไม่สบาย เจ็บคอเป็นไข้ มีก้อนเล็กๆ ขึ้นที่ลิ้น แต่ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่แสบ อะไรที่ก้อนเนื้อนั้น แต่มันก็ทำให้เขากลืนอะไรลำบาก หนาวๆ ร้อนๆ เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน หายามากินเองก็ไม่หาย ตอนนั้นเขาไม่กล้าไปหาหมอ เนื่องจากยังไม่ได้บัตรสวัสดิการเป็นพลเมือง (เพราะยังไม่ได้กรีนการ์ด) จึงไม่กล้าไปหาหมอเพราะค่ารักษาที่นั่นแพงมาก ทุกอย่างต้องจ่ายเป็นเงินยูโร เขาทนทรมานอยู่เกือบ 9 เดือนจนทนไม่ไหว

ในที่สุดเขาจึงต้องยอมไปหาหมอ เพื่อตรวจหาอย่างละเอียดในปากและลำคอ หมอจึงเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ และพบว่าเขาเป็นมะเร็งที่โคนลิ้น เขาฟังแล้วก็อึ้งไปพักใหญ่ แต่แล้วก็ทำใจปลงคิดว่าเป็นไงเป็นกัน ตายก็ตาย เพราะคงไม่มีเงินมากพอจะไปรักษาตัว

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

“ตอนนั้นยังไม่มีบัตรกรีนการ์ดเลย จะเอาเงินที่ไหนไปรักษา ค่าเงินมันแพงมาก เราก็ทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะมาก พอมีเหลือแต่ก็ไม่ได้มากพอ แต่โชคดีว่าหมอที่นั่นมีเมตตาธรรมมาก หมอบอกว่า คุณจะปล่อยแบบนี้โดยไม่รักษาไม่ได้นะคุณแย่แน่ๆ เขาก็หาทางช่วยบอกว่ารักษาไปก่อน ไม่มีกรีนการ์ดไม่เป็นไร เขาเมตตาเรามาก เพราะถ้าไม่รักษาก็คงตายสถานเดียว”

หมอก็นัดเขามาเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา โดยเริ่มจากถอนฟันจนหมดปากทันที จนหน้าบวมไปหมด เพราะเป็นการถอนทีเดียวพร้อมกันทั้งปาก เพราะต้องการเร่งการรักษาให้เร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป พอหน้าหายบวม กลายเป็นแก้มสองข้างยุบไปมากเพราะไม่มีฟันเหลือเลย หลังจากถอนฟันไปเพียง 2 อาทิตย์กว่า พอหน้าหายบวม หายระบม หมอก็นัดมาผ่าลิ้น ซึ่งต้องนอนโรงพยาบาลเกือบเดือน

ตอนนั้นลำบากมาก เพราะพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ คือพูดสื่อสารได้แบบงูๆ ปลาๆ เพราะเขาทำงานอยู่หลังร้าน แทบไม่ได้สื่อสารกับใคร ภาษาที่ใช้ก็ใช้อยู่ไม่กี่คำ แต่พูดภาษากับหมอกับพยาบาลแทบไม่รู้เรื่อง การรักษาก็ทรมานมาก ต้องตัดต่อมน้ำเหลืองออกให้หมด เพื่อไม่ให้เนื้อร้ายลามไปที่อื่นๆ ในลำคอ เวลาที่ให้น้ำเกลือก็ยังปวดมาก จนเลือดมันย้อนเข็มขึ้นมา

“ตอนนั้นตกใจมาก เราอยู่ห้องด้านในแบบคนไข้อนาถานิดๆ พยาบาลก็ไม่ค่อยเดินเข้ามา หรือบางทีก็เป็นพยาบาลฝึกหัด เข้ามาเจาะเลือดก็หาเส้นเลือดไม่เจอ ควานหาหลายรอบ เราก็เจ็บมาก เจาะ 2 ข้างเกือบ 7 ครั้ง จนผมทนไม่ไหวร้องไห้และดิ้นสะบัดมือหนีเลย มันปวดแสบไปหมด” เขาเล่าอย่างเคร่งครียด

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

จนตอนหลังเขาได้กรีนการ์ดแล้ว ก็ได้อยู่ห้องที่ดีขึ้น ได้สิทธิ์การรักษาที่ดีขึ้น ก็รอการฉายแสง ซึ่งต้องฉายแสงทั้งหมดถึง 20 ครั้ง แต่พอฉายไปได้แค่ครั้งที่ 5-6 เท่านั้นมันทรมานมาก จนเขาทนแทบไม่ไหว ซึ่งตอนฉายแสงไม่เจ็บ แต่ฉายเสร็จกลับมาบ้านนี่เจ็บมากๆ จนถอดใจว่าจะไม่รักษาต่อแล้ว ทรมานมากจนยอมตายเลยทีเดียว แต่ที่สุดก็ไปฉายแสงจนครบ ผ่าเอาก้อนที่ลิ้นออกจนหมด

“ตอนนั้นสภาพร่างกายดูไม่ได้เลยครับ เหมือนผี เพราะหน้าดำไปทั้งหน้า แถมถอนฟันไปหมดปาก แก้มก็ตอบยุบลงไป เหมือนโครงกระดูก เราก็อาย ใส่หน้ากากปิดปากปิดจมูก ใส่หมวก ใครเห็นเขาก็จะตกใจนิดๆ มันดูน่ากลัวจริงๆ โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าของร้านชาวอิสราเอลเขาสงสาร ยังให้ทำงานอยู่แบบครึ่งวัน เพราะเรายืนนานๆ ไม่ได้ มันเหนื่อย จะอ้วก เพลียไปหมด เจ้าของร้านสงสารก็ให้มาเตรียมของแล่ปลาไว้ ให้มาทำงานแค่วันละ 3-4 ชั่วโมง แล้วกลับไปนอนพัก น้ำหนักลดลงฮวบฮาบเพราะกินอะไรไม่ได้เลย กินได้แต่พวกน้ำเพราะไม่มีฟันจะเคี้ยว บางทีเหนื่อยๆ ทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ เพื่อให้อาหารทางสายยาง สอดเข้าทางจมูก ก็เทียวไปเทียวมาจนจบกระบวนการรักษา หมอก็นัดตามผลทุกๆ 6 เดือน พออาการดีขึ้นก็อยากกลับบ้านที่ไทยแล้ว” เขาเล่าอย่างมีความหวัง

แต่หลังๆ อาการเขาก็ยังไม่ได้ดีขึ้น เหนื่อยมากขึ้น สุดท้ายก็ต้องลาออกจากงานเพราะเกรงใจเจ้านาย เพราะไปทำงานครึ่งวันก็ยังไม่ไหว ออกมาอยู่อพาร์ตเมนต์ เงินเก็บที่มีก็ค่อยๆ ร่อยหรอไปจากการรักษาตัวบ้าง ตกงานบ้าง แต่วันไหนพอจะไหวนายก็บอกให้มาทำงาน ก็จ่ายเป็นวันๆ ไป อาทิตย์หนึ่งไปทำงานสัก 2-3 วัน พอมีรายได้ก็อกแก๊กๆ ไป พอมีใช้มีกิน ถึงแม้จะมีบางส่วนที่รักษาฟรี แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องจ่ายเอง เพราะเขาเสียภาษีไม่ถึงขั้นที่รัฐบาลกำหนด

สมบูรณ์คิดว่าสาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ เนื่องจากแม่เขาก็เป็นมะเร็งที่มดลูก พี่ชายก็เป็นมะเร็งที่ลำไส้ แล้วตอนหนุ่มๆ ก็ไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าที่ควร สูบบุหรี่ กินเหล้า และนั่นอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาป่วยก็เป็นได้

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

หลังจากรักษาตัวที่ฝรั่งเศสอยู่จนอาการเริ่มดีขึ้น เขาก็เริ่มออกกำลังกายด้วยการเดินวันละ 15 นาที เดินเร็ว และวิ่งในที่สุดได้วันละ 30 นาที ก็เหนื่อยแต่กลับรู้สึกเบาสบายตัวดีมาก เขาออกกำลังทุกวันด้วยการวิ่ง วิ่งไปก็คิดว่าสุขภาพนี่สำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ เขาก็คิดอยากกลับประเทศไทย อย่างน้อยได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแต่ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เนื่องจากเขาต้องถอนฟันออกจนหมดปาก แล้วใส่ฟันปลอม มันทำให้มีปัญหาในการพูด การเคี้ยวและการรับรสชาติของอาหารก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“เราเป็นเชฟ แล้วลิ้น ฟัน บกพร่องไปแบบนี้มันยาก แล้วมาถึงจุดนี้ก็ทำให้รู้ว่าสุขภาพสำคัญที่สุด เงินเป็นเรื่องรองลงไป ตอนนี้จะเอาเงินหรือเอาชีวิต เพราะอยู่ฝรั่งเศสเราก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิมแล้ว กลับบ้านดีกว่า ได้มาอยู่กับครอบครัว ที่เราเองก็ห่างหายไปนานแล้ว”

พอกลับถึงประเทศไทยเขาก็เริ่มมาออกกำลังกายอย่างจริงจังด้วยการเดินและวิ่งทุกเช้าตรู่วันละ 30 นาที ยกเวตอีก 60 นาที สรุปเขาจะออกกำลังกายตอนเช้าทุกวัน วันละ 90 นาที เพราะโดยพื้นฐานแล้วเขาชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็กๆ เล่นฟุตบอลบ้าง เตะตะกร้อบ้าง จนเป็นหนุ่มก็ยังเล่นอยู่ แต่พออายุ 30 ขึ้นมานี่หยุดเล่นไปนานเพราะไม่มีเวลา

“พอป่วยนี่เริ่มมีเวลาเพราะกลับมายังไม่มีงานประจำทำ เราคิดว่ากีฬานี่ละที่จะใช้รักษาตัวเราได้ ก็เลยคิดว่าแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะเอาสุขภาพเป็นหลัก เรื่องเงินเป็นรอง เพราะมีเงินแต่สุขภาพไม่ดี จ่ายค่าหมอหมดก็ไม่เหลืออะไรอยู่ดี ก็เลยดูแลสุขภาพการกิน การออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด”

โดยเขาเลือกกินอาหารสุขภาพแบบอาหารคลีนที่ทำกินเองที่บ้าน เน้นผัก ผลไม้สด และธัญพืชเป็นหลัก เช่น ถั่วต่างๆ เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ ถั่วดำ นำมาปั่นรวมกันแล้วดื่ม เพราะยังมีปัญหาเรื่องการเคี้ยวทำให้กินอาหารไม่อร่อยเหมือนเดิม กินนึ่ง ต้ม ไม่กินมัน ไม่กินหวาน กินเต้าหู้ กินฟักทองนึ่ง กินขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง กินปลา อกไก่ กับไข่ขาววันละ 8 ฟอง (ไข่แดงทิ้ง) เป็นหลัก กินโยเกิร์ต หมู เนื้อ ไม่รับเลย เปลี่ยนวิธีการกินอย่างสิ้นเชิง

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

นอนแต่หัวค่ำ และนอนกลางวัน วันละ 2 ชั่วโมง เขาจะเข้านอนตั้งแต่ 1 ทุ่ม และตื่นตี 3 เพื่อมาทำอาหารเช้าให้หลานๆ กินก่อนไปโรงเรียน พยายามไม่เครียด ไม่กังวล ไม่ดูไม่ฟังอะไรที่จะทำให้เกิดการแสลงอารมณ์จนคิดมาก เลือกรับแต่สิ่งสบายใจ นอนฟังเทปธรรมะให้ใจไม่ฟุ้งซ่านจนเกิดกิเลส พยายามตัดทุกอย่างที่ก่อกวนจิตใจ

“พออาการดีขึ้นก็มีกำลังใจขึ้นบ้าง ใครๆ มักจะพูดว่าเป็นมะเร็งแล้วตาย เราก็นึกในใจว่าเราจะไม่ยอมตาย จะลองสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าทำเต็มที่แล้วจะตายก็ช่างมัน แต่ขอทำให้เต็มที่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ที่กังวลตอนนี้คือบ้านเราผักปลอดสารพิษมันแพงมาก ที่ขายๆ ทั่วไปนี่ก็สารเคมีเยอะ กลัวเรื่องคุณภาพอาหารนี่ล่ะที่ฝรั่งเศสมันดีเรื่องผักผลไม้เขาส่วนใหญ่ปลอดสารพิษ กลับมานี่ก็ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดเรื่องการกินการนอน หวังพึ่งหมอให้น้อยที่สุด และคิดว่ากีฬานี่ละคือยาวิเศษ” เขาเล่าอย่างตั้งใจ

นอกจากออกกำลังกายตอนเช้าที่สวนรมณีนาถวันละ 1.30 ชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เขายังออกกำลังกายตอนเย็นเพิ่มด้วยการวิ่งแถวสวนสาธารณะเชิงสะพานพระราม 8 อีกวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อให้นอนหลับสบาย

นับถึงตอนนี้เขาก็ออกกำลังกายอย่างจริงจังมาประมาณ 2 ปี ถ้าดูจากรูปร่างแล้วคงไม่มีใครคิดว่าเขาป่วยเป็นมะเร็ง และผลลัพธ์ที่ได้ก็พอจะมั่นใจได้ว่ากีฬาเป็นยาวิเศษจริงๆ

“ผมมาถึงวันนี้ได้เพราะใช้กีฬารักษาตัวจริงๆ ผมรอดตายมาได้ก็อยากจะดูแลสุขภาพอย่างจริงจังอีกครั้ง บทเรียนสำคัญมีแล้ว จะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกต่อไป เราต้องเป็นหมอให้ตัวเองด้วย จะหวังพึ่งยาอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องรักษาตัวเอง” เขาบอกอย่างมุ่งมั่น

เขาบอกว่า ตอนนี้สุขภาพก็ดีขึ้นมาก เขาจะกลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งด้วยการรับทำซูชิตามสั่ง สำหรับผู้ที่ต้องการจัดงานเลี้ยงหรืออาหารสำหรับผู้เข้าประชุมสัมมนา ครั้งละ 30-50 กล่อง โดยเขามีเพจชื่อ Sushi Boon ผู้ที่สนใจอยากจะช่วยสนับสนุนอาหารญี่ปุ่นของเขาติดต่อได้ที่ 06-4826-5489