posttoday

‘ความสุขคือการได้มองเข้าไปในจิตใจตนเอง’ ภาณุพงศ์ พูลทวี

29 กรกฎาคม 2561

ช่างเป็นนิยามการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้งและน่าทึ่งมากๆ สำหรับนักบริหารระดับหัวกะทิ ภาณุพงศ์ พูลทวี

โดย วราภรณ์ ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข 

ช่างเป็นนิยามการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้งและน่าทึ่งมากๆ สำหรับนักบริหารระดับหัวกะทิ ภาณุพงศ์ พูลทวี Assistant Business Development and Marketing Director  ดูแลในส่วนของทรูมันนี่-ดิจิทัล คอนเทนต์ โดยเขามีศัพท์บัญญัติการใช้ชีวิตคือ การจัดสมดุลระหว่างชีวิตทำงาน ครอบครัว และการพักผ่อนได้อย่างลงตัว และเกิดความสุขในใจที่จริงแท้

“สิ่งที่นอกเหนือไปจากการทำงานที่จริงจังของผม คือ ความสุขการได้ใช้ชีวิตช้าๆ และสิ่งที่สวยงามที่สุดคือ การได้อยู่นิ่งได้มองเข้าไปหาในใจตัวเอง เพราะตลอดชีวิตการทำงานของผมค่อนข้างประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งการวิ่งหาแต่สิ่งที่อยู่ภายนอก มีแต่เปลือก และมีวันสิ้นสุด เพราะมีคนที่เก่งกว่าเรามาทดแทนได้ตลอดเวลา แต่เมื่อเราอยู่นิ่งเราได้กลับมามองที่ตัวเอง เราจะเรียนรู้ว่า บางอย่างที่เป็นความสุขเล็กๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีพลังต่อไปได้ เช่น ได้รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร เราต้องการอะไร บั้นปลายชีวิตของเราหรือเราเกิดมาเพื่ออะไร ซึ่งตอนนี้ผมหาคำตอบได้แล้วว่า ผมเกิดมาเพื่อเป็นชีวิตผลักดัน ดูแล สั่งสอน ให้ลูกได้เติบโตเป็นคนดี นี่คือคำตอบ ว่าผมเกิดมาทำไม”

ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

‘ความสุขคือการได้มองเข้าไปในจิตใจตนเอง’ ภาณุพงศ์ พูลทวี

ขอบข่ายการทำงานของภาณุพงศ์คือดูแลในส่วนของทรูมันนี่ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด ดูแลในส่วนของดิจิทัล คอนเทนต์ ประกอบไปด้วย เกม โทรศัพท์มือถือ ออนไลน์ แอพสโตร์ เพลย์สโตร์ต่างๆ โดยเขามีหน้าที่ทำให้ลูกค้ากลุ่มคอนเทนต์ที่เขาเอ่ยมาได้เข้ามาใช้บริการทางการเงินของทรูมันนี่ให้ได้เยอะที่สุด 5 ปีแล้วที่เขาทำงานร่วมกันทรูมันนี่

ผลงานในช่วงตลอดหลายปีอยู่ที่ระดับเป็นที่น่าพอใจ เช่น ช่วง 2 ปีแรก เขาและทีมงานสามารถทำให้บัตรเงินสดทรูมันนี่กลายป็นบัตรเติมเงินอันดับ 1 ของประเทศ โดยมีกิมมิกมาส่งเสริมด้านการขายที่กิ๊บเก๋ดึงดูดใจลูกค้าได้ตลอดเวลา เช่น การคิดคำว่า เทพ ทรู คือหากเติมเงิน ฉันภูมิใจ จนเกิดเป็นคำเก๋ๆ คือ เทพทรูแท้ เป็นต้น ทำให้เขาประสบความสำเร็จด้านมาร์เก็ตแชร์ในตลาดได้มากถึง 80% ในช่วง 3 ปีแรกที่เข้ามาลุยในตลาดการเติมเงินแบบออนไลน์ ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง

นาน 18 ปีแล้วที่ภานุพงศ์คลุกคลีอยู่ในแวดวงดิจิทัล ซึ่งย้อนไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน คำว่าดิจิทัลยังใหม่มากสำหรับสังคมไทย

“เมื่อก่อนผมทำงานผมยังตอบครอบครัวไม่ได้ว่า ผมทำงานด้านดิจิทัลคืออะไร จริงๆ ผมจบด้านมนุษยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และผมโชคดีตอนฝึกงานได้ฝึกทำเว็บไซต์ของญี่ปุ่น ช่วยเขียนคอนเทนต์เป็นภาษาไทย และอยู่ในแวดวงดิจิทัลมาโดยตลอด”

แรงบันดาลใจการใช้ชีวิตแบบช้าๆ

‘ความสุขคือการได้มองเข้าไปในจิตใจตนเอง’ ภาณุพงศ์ พูลทวี

ด้วยหน้าที่การงานการทำงานด้านการตลาดเกี่ยวกับดิจิทัลที่ต้องฉับไว บางครั้งอาจสร้างภาวะเครียดให้เขาได้ง่ายๆ สิ่งที่เขาทำอยู่เหมือนเขาอยู่หัวคลื่นย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทำเว็บไซต์ก็เหมือนอยู่หัวคลื่นที่ไม่รู้ว่าเว็บไซต์จะจบ และก้าวไปทิศทางใด

“พอมาดิจิทัล ผมก็อยู่หัวคลื่น คือต้องเป็นผู้นำ แล้วเราไม่มีตำรา เราต้องบุกเบิกซึ่งจะนำสูตรการตลาดของเมืองนอกมาใช้ก็ไม่ได้ 100% ดิจิทัลเมืองไทยแตกต่างจากเมืองนอกสิ้นเชิง ดิจิทัลเมืองไทยกลัวอะไรที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ 5 ปีผมทำงานที่ยากที่สุดคืออี-ไฟแนนเชียล คือทำให้ทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมจากสังคมเงินสดเป็นสังคมเงินดิจิทัลทั้งหมด คือให้คนใช้เงินดิจิทัลให้มากที่สุด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน ซึ่งยากเพราะการจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนเป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งคนไทยชอบถือเงินสด แต่ทีมงานเราทำได้ เพราะทีมงานทำให้เราเป็นกระเป๋าเงินอันดับหนึ่งของคนในเมืองไทย ตอนนี้เรามีแอ็กทีฟยูสเซอร์ประมาณ 5 ล้านยูสเซอร์ และมีคนลงทะเบียนดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของเราอยู่ที่ 10 ล้านคน ในอนาคตเราจะขยายเข้าไปเป็นตอบโจทย์การเงินในเซาท์อีสเอเชีย เพราะเรามีสาขาเฮดควอเตอร์ในเมืองไทย และกำลังขยายไปอินโดนีเซีย กัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์ เป็นต้น”

แม้การทำงานจะเครียด แต่ภานุพงศ์ก็มีวิธีในการจัดชีวิตให้สมดุลก็คือ เขาชื่นชอบทั้งสร้างสรรค์เขียนคำกลอนและบทประพันธ์ ร่วมทั้งชอบเขียนรูป ซึ่งถือเป็นวิธีที่ช่วยคลายเครียดของเขาไปได้มาก

“ตั้งแต่ผมเรียนหนังสือ ได้มีโอกาสคลุกคลีกับศิลปินนักเขียน เช่น อาจารย์ธัญญา สังขพันธานนท์ กวีซีไรต์เรื่องก่อกองทราย และพี่กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมเองก็อยู่ในวงการนักเขียน ผมชอบเขียนหนังสือและวาดรูปมาก ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่ในสังคมแบบนั้น เดิมผมค่อนข้างต่อต้านสิ่งอะไรที่ใหม่ๆ เกินไป แล้วเราจะค้นหาคำตอบ ค่านิยม ปรัชญาชีวิต เราพยายามหาตัวตนของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหน้าที่การงานของผม ณ ปัจจุบันค้านกับสิ่งที่ผมชอบมากๆ เพราะชีวิตด้านหนึ่งผมธุรกิจจ๋ามาก แต่อีกมุมหนึ่งผมชอบวาดรูปฟรีแฮนด์ที่บ้านผมมีภาพวาดฝีมือผมประดับเต็มไปหมด บางรูปสร้างสรรค์ 3 ชั่วโมงเสร็จ บางรูปใช้เวลาวาด 3 เดือน ผมเขียนหนังสือบทกวี บางบทกวีผมใช้เวลาเขียน 3 ปีเสร็จ แต่บางบทกวีเขียน 10 นาทีเสร็จ” ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตสมดุลมาโดยตลอด

แต่มีช่วงหนึ่งที่เขาเลยจากจุดเป็นเพียงพนักงานธรรมดาตัวเล็กๆ แล้วก้าวขึ้นสู่นักบริหาร ช่วงนั้นทำให้เขาต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งระหว่างงาน ครอบครัวและสิ่งที่ชอบ สุดท้ายเขาเลือกหน้าที่งานที่ก้าวขึ้นสู่ผู้บริหารในวัยเพียง 26 ปี ปัจจุบันในวัย 38 ปี เขาถือเป็นผู้บริหารที่อายุน้อยและมีเงินค่าตอบแทนเดือนละหลักแสนบาท

วิถีชีวิตชาวสวน

‘ความสุขคือการได้มองเข้าไปในจิตใจตนเอง’ ภาณุพงศ์ พูลทวี

การเป็นผู้บริหารทำให้เขาค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่งแห่งการใช้ชีวิตทำงานว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว เพราะความเป็นนักธุกริจจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ และในวงธุรกิจค่อนข้างเลือดเย็น และเขาพูดอย่างจริงใจว่า สิ่งที่เขาทำไม่ต่างจากหมาล่าเนื้อ เราล่าเต็มที่ สมมติปีนี้เราล่าได้ 10 เท่า ปีต่อไปต้องคิดไปที่ 20 เท่า และไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีทางเติมเต็มให้กับธุรกิจ เพราะเงินทาร์เก็ตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาต้องกลับไปสิ่งที่ปลดปล่อยความเครียด ซึ่งเขาต้องมี

“เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในวันเสาร์อาทิตย์ผมจะมีบิ๊กไบค์ขี่ไปต่างจังหวัดเพื่อตัดขาดจากโลกการทำงาน ผมขี่ไปวาดรูป เขียนหนังสือ เที่ยวดูธรรมชาติฟังเสียงลมเสียงคลื่นไปเรื่อยๆ แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมได้สร้างครอบครัว ปัจจุบันเรามีลูกชาย (ด.ช.ไทยกล้า) วัย 2 ขวบ ซึ่งภรรยาของผมพื้นเพทำเกษตรกรรมทำสวนกล้วยที่ปทุมธานี พอมีลูกทำให้ชีวิตผมอยู่เป็นที่เป็นทางมากขึ้น คือ เสาร์อาทิตย์ผันตัวเองไปทำสวน โดยใช้หัวธุรกิจคำนวณพืชสวนพืชไร่ 3 ปี คำนวณราคาปลูกอะไรที่ให้ราคาดี ชีวิตก็ชิลดี สุดท้ายปลูกสลับไปเรื่อยๆ แล้วแต่ฤดูกาล เวลาปลูกต้นไม้ผมมีความสุขมาก ได้รดน้ำได้ตัดหญ้า ผมได้อยู่อากาศดีๆ ได้พักผ่อน หยุดคิดเรื่องการงาน ผมจะไปสวนในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ ทำสวนอยู่ อ.หนองเสือ อยู่ตรงรังสิต นครนายก คลอง 9 อากาศดีหายใจได้เต็มปอด ตอนนี้พื้นที่ 25 ไร่ ผมลงตะไคร้เอาไว้ ตอนนี้กำลังทำสวนต้นสักเป็นกำแพงรอบๆ 25 ไร่ ทำไว้ให้ลูกพอ 20 ปีน่าจะมีหลายล้านบาท”

วิถีชาวสวนนอกจากปลูกตะไคร้ เขายังมีความสุขกับการตัดแต่งกิ่งไม้ ดูแลดอกไม้หอม มะนาว ฯลฯ

“วิถีชาวสวนของผมคือ ตื่น 6 โมงเช้ามารดน้ำต้นไม้ แดดร้อนก็พักเล่นกับลูก ถ้าร่มๆ ก็กลับเข้าสวนอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า และเข้านอนเร็วประมาณ 2 ทุ่ม นอนเร็วร่างกายก็ดี ในสวนมีท้องร่องผมก็นำปลาช่อนมาเลี้ยง หรือไม่ก็ปลาตะเพียน ปลายี่สก ปลานิล เราจะจับปีละครั้ง เลี้ยงแล้วให้กินพืชสวนที่เราปลูกแล้วตัด พวกนี้กำไรดีกว่าฝากแบงก์อีก ลงทุน 1 หมื่นแต่ปีหนึ่งได้กำไร 6 หมื่นบาท เลี้ยงในพื้นที่ เช่น ปลา โดยให้เขาโตช้าๆ”

‘ความสุขคือการได้มองเข้าไปในจิตใจตนเอง’ ภาณุพงศ์ พูลทวี

การใช้ชีวิตแบบใกล้ชิดธรรมชาตินี้ จากเป็นคนเครียดกับการทำงาน มักนอนไม่หลับ นอนๆ อยู่ฝันไอเดียการตลาดผุดในหัวก็ต้องลุกขึ้นมาจด ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ กินเพื่อคลายเครียด ส่งผลให้กลายเป็นหนุ่มเจ้าเนื้อ ทุกวันนี้เขาจึงต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง เพื่อให้ชีวิตเขายืนยาวจะได้อยู่กับบลูกนานๆ

“ผมจะพูดกับเพื่อนกับครอบครัวเสมอๆ ว่าอย่าใช้วิธีทำธุรกิจมาใช้กับครอบครัว เพราะครอบครัวไม่ต้องการผลกำไร ครอบครัวไม่ได้ต้องการเอาชนะคู่แข่งที่ไหน แต่ครอบครัวใช้คำเดียวคือ ให้ เช่น ให้เวลา ให้หัวใจ ให้ความรู้สึก ให้ความจริงใจ คือเป็นสิ่งที่ผมคิดตลอดและบอกทุกคน ผมเข้าใจว่า เป้าหมายชีวิตของทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ขอให้เขาจัดสมดุลชีวิตให้ได้ ใครทำงานเยอะเพื่อเงินทองก็ขอให้ทำไปสำหรับมนุษย์งาน ผมจึงต้องจัดสมดุลด้านการเงินและการงาน และสิ่งให้ผมรัก ผมอยากให้ทุกคนหาสมดุลและต้องหาให้เจอว่าตัวเองชอบจริงๆ มีความสุขของแนวทางตัวเองจริงๆ สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่สมดุลกับความรักครับ”