posttoday

วิชิต พยุหนาวีชัย ‘ขอขูดขี้วัวอย่างมีความสุข’

28 กรกฎาคม 2561

พูดถึงคนแวดวงการเงินไทยแล้ว วิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง

โดย ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ

พูดถึงคนแวดวงการเงินไทยแล้ว วิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จัดได้ว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ระดับแถวหน้าของเมืองไทย และหากดูนามสกุลแล้วก็อาจจะคุ้นๆ หูอยู่บ้าง ก็เพราะวิชิตเป็นน้องชายของ ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นั่นเอง ถือได้ว่าเป็นพี่น้องที่มีดีกรีด้านการเงินไม่แพ้กันทีเดียว

วิชิต บอกว่า งานที่เขารับผิดชอบอยู่นั้น จะคอยให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้กับลูกค้ารายย่อยทั่วไป ซึ่งแน่นอนต้องเกี่ยวข้องกับตัวเลขและเป้าหมายต่างๆ การทำงานในแต่ละวันจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้

แต่เมื่อถึงวันหยุดพักผ่อนแล้ว เขาจะแปลงร่างเป็นเกษตรกรเต็มตัวทีเดียว ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่ติดธุระสำคัญหรือเดินทางท่องเที่ยวไปไหน จะเห็นเขานั่งรีดนมวัว จากฟาร์มโคนมด้วยตัวเอง

“ผมมีความสุขมากกกกก” เป็นคำพูดที่มาพร้อมกับสายตาที่เปล่งประกายให้เห็นว่ามีความสุขจริงๆ เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกในงานอดิเรกของวิชิตที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการเป็นเจ้าของฟาร์มโคนม “ไร่ภูนับดาว” ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

วิชิต พยุหนาวีชัย ‘ขอขูดขี้วัวอย่างมีความสุข’

วิชิต เล่าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีก่อนว่า เขาได้ไปไถ่ชีวิตวัวมา 4 ตัว และฝากคนอื่นเลี้ยงไว้ที่อยุธยา แต่ตอนหลังมีปัญหาถูกเอาที่ดินคืน จึงต้องหาที่เลี้ยงวัวใหม่ ซึ่งเดิมตั้งใจว่าจะเอาไปเลี้ยงที่บ้านพักตากอากาศที่มวกเหล็ก ที่ซื้อไว้เพื่อพักผ่อนนานแล้ว เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบอยู่กับธรรมชาติอยู่แล้ว

“เพียงแต่ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้ไปบ่อย จึงคิดว่าจะเอาวัว 4 ตัว ไปเลี้ยงที่นั่น แต่คิดแล้วคงไม่เหมาะ ดังนั้น จึงได้หาพื้นที่ใหม่แถวมวกเหล็ก และนำวัวที่ไถ่มาไปเลี้ยงได้ ซึ่งช่วงแรกก็ยังไม่คิดว่าจะทำฟาร์มโคนม คิดว่าจะปลูกแค่ปลูกผัก ปลูกผลไม้เฉยๆ แต่คิดไปคิดมา ศึกษาดูแล้ว ถ้าปลูกแค่ผักผลไม้อย่างเดียว คงมีแต่รายจ่าย และมีรายได้ไม่เพียงพอมาเลี้ยงฟาร์มแน่ๆ จึงคิดว่าไหนๆ ก็ชอบทางด้านนี้อยู่แล้ว ก็ควรจะทำในสิ่งที่ชอบและต้องมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ด้วย”

วิชิต ขยายภาพว่าเมื่อศึกษาหาข้อมูลหลายๆ ด้านแล้ว ในที่สุดก็มาลงตัวที่ฟาร์มโคนมเหมาะที่สุด จึงเริ่มทำฟาร์มโคนมอย่างจริงจังเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะโดยส่วนตัวก็มีพื้นฐานด้านนี้มาบ้างและชอบอยู่แล้ว เนื่องจากเขาเคยเรียนที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนปริญญาตรีได้ 1 เทอม แต่พอรุ่นพี่บอกว่าเรียนจบมาตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานขายอาหารสัตว์ เขาเลยไม่ชอบ และเบนเข็มมาเรียนด้านการเงิน จนเข้าทำงานในวงการเงินมาถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันฟาร์มโคนมของเขา มีพื้นที่อยู่ประมาณ 68 ไร่ เลี้ยงโคนมอยู่ 300 ตัว เมื่ออยู่ในฟาร์มเขาจะทำหน้าที่เป็นเกษตรกรเต็มตัว เขาบอกว่าต้องตื่นตี 4 มารีดนม ให้อาหาร และขูดขี้วัวทำความสะอาดคอกด้วยตัวเอง

วิชิต พยุหนาวีชัย ‘ขอขูดขี้วัวอย่างมีความสุข’

“เพราะวัวตัวไหนจะสุขภาพดีหรือไม่นั้น จะสามารถดูได้จากขี้วัว รวมถึงกำหนดผสมพันธุ์วัวเองอีกด้วย เลยมีความรู้สึกว่าได้กลับมาทำในสิ่งที่ชอบ เป็นสิ่งที่มีความสุขอีกครั้ง”

เมื่อถามว่า ทำไมต้องต้องตื่นตี 4 มารีดนม วิชิตตอบทันทีว่าก็เพราะต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากโรงนมจะเปิดรับนมตั้งแต่ 7 โมงเช้า ปิด 5 โมงเย็น

“ฟาร์มโคนมแถวนั้นจึงรีดนมและส่งนมให้โรงนมได้ 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเช้ากับเย็นเท่านั้น เพราะต้องเว้นช่วงเวลาด้วย ในขณะที่ต่างประเทศจะมีความพร้อมมากกว่า โดยรีดนมได้ 3 ครั้ง ทุก 8 ชั่วโมง

ส่วนขั้นตอนการรีดนมนั้น ก็ต้องมีการล้างเต้านม ต้องอาบน้ำทำความสะอาดวัวก่อนถึงรีดได้ เริ่มต้นตี 4 ทำเสร็จก็ประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งปัจจุบันรีดได้วันละ 2,000 กิโลกรัม ก็จะรีบขับรถไปส่งนมดิบเอง เพราะนมดิบจะมีคุณภาพและได้ราคาดีที่สุด ก็ต่อเมื่อออกจากเต้าแล้วต้องไม่เกิน 3 ชั่วโมง”

วิชิต พยุหนาวีชัย ‘ขอขูดขี้วัวอย่างมีความสุข’

วิชิต กล่าวว่า เขาเลี้ยงวัวแบบเอาความสุขเป็นที่ตั้ง เลี้ยงด้วยความรัก ให้กินอาหารที่มีคุณภาพดี ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องต้นทุนมากนัก จึงส่งผลให้วัวเขาผลิตน้ำนมดิบคุณภาพได้ 20 กิโลกรัม/ตัว/วัน ขณะที่ฟาร์มโคนมอื่นได้แค่ 14 กิโลกรัม/ตัว/วันเท่านั้น

“ไร่ภูนับดาว” จึงกลายเป็นฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในมวกเหล็กขณะนี้ เมื่อปัจจุบันเขาขายน้ำนมดิบได้ถึงเดือนละ 1.1 ล้านบาท จากการรีดนมวัวเพียง 95 ตัวเท่านั้น หากดูยอดขายแล้วอาจเห็นว่ามีรายได้มาก แต่ความจริงแล้วถือว่าไม่มากเลย เมื่อต้องจ่ายกับค่าอาหารวัวคุณภาพถึงเดือนละ 7 แสนบาท และยังไม่รวมค่าใช้จ่าย น้ำ ไฟ ค่าคนงานอื่นๆ อีก

จากการที่เขาลงมือทำฟาร์มโคนมด้วยตัวเองอย่างเต็มตัวนี้ ทำให้ วิชิต ได้เห็นปัญหาและเข้าใจเกษตรกรมากขึ้นว่า ทำไมเกษตรกรไทยจึงมีปัญหาเรื่องรายได้น้อยอยู่ อย่างนมดิบจากฟาร์มของเขา เขาจะเลือกส่งให้กับโรงนมเอกชนมากกว่า เพราะจะได้ไม่ถูกกดราคา

“แต่ถ้าเป็นเกษตรกรทั่วไป จะส่งนมให้กับโรงนมเอกชนไม่ได้ เพราะเกษตรกรมีเงินกู้กับองค์กรนั้นอยู่แล้ว ซึ่งคิดดอกเบี้ยแพงมาก ฉะนั้น เวลาส่งนมไป เกษตรกรก็จะถูกกดราคานม และยังถูกบังคับให้ซื้ออาหารที่แพง คุณภาพต่ำอีก เช่น ที่ฟาร์มเขา จะซื้อข้าวโพดหมักทั่วไปถุงละ 25 กิโลกรัม ก็แค่ 40 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเกษตรกรซื้อก็ต้องถูกบวกเข้าไปอีกเป็น 60 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมาก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลตรงนี้ด้วย เพื่อเกษตรกรไทยเจริญก้าวหน้าได้

วิชิต พยุหนาวีชัย ‘ขอขูดขี้วัวอย่างมีความสุข’

ผมเป็นคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติอยู่แล้ว มันเป็นความฝันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นมีกำลังเพียงพอก็อยากทำให้ความฝันเป็นจริง ซึ่งตอนนี้ผมมีความสุขมาก เป็นงานอดิเรกแบบยั่งยืนได้ และน่าจะเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำได้หลังผมเกษียณอายุแล้ว ตอนนี้ผมจึงถือว่าผมเป็นเกษตรกรเต็มตัวก็ว่าได้” วิชิต กล่าวทิ้งท้าย