posttoday

วิชา พูลวรลักษณ์ พาโรงหนังก้าวสู่ยุค 5.0

24 มีนาคม 2561

ยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์

เรื่อง : จะเรียม สำรวจ

ยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ แม้ว่าปัจจุบันจะครองความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจโรงภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เมเจอร์ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ยิ่งปัจจุบันคู่แข่งของธุรกิจโรงภาพยนตร์ ไม่ได้มีแค่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ด้วยกันเองเท่านั้น แต่ยังมีคู่แข่งในด้านของเทคโนโลยีอย่างเช่น Netflix และ iflix ที่เข้ามาเปิดให้บริการดูหนังแบบสตรีมมิ่ง (Streaming) จึงทำให้เจ้าตลาดอย่างเมเจอร์ต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อหาบริการใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้า

วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป กล่าวว่า การทำธุรกิจภาพภาพยนตร์ที่ดี ไม่ใช่เน้นแค่คุณภาพของหนังที่จะนำเข้ามาฉาย แต่ยังต้องเน้นไปในเรื่องของคุณภาพภาพและเสียง บรรยากาศ เก้าอี้ที่ต้องสะดวกสบาย

เพราะวันนี้ถ้ามีแค่โรงภาพยนตร์อย่างเดียวก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการนำระบบการฉายใหม่ๆ มาให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์การฉายระบบดิจิทัล 2D 3D การนำภาพยนตร์จอยักษ์ 3 มิติไอแมกซ์ และโรงภาพยนตร์ดิจิทัล 4DX เข้ามาฉาย เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมเจอร์ได้พาธุรกิจโรงภาพยนตร์ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ไปเป็นที่เรียบร้อย ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการนำโรงภาพยนตร์ดิจิทัล 4DX มาให้บริการ หรือการให้บริการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า

มาปี 2561 นี้ เมเจอร์ขอก้าวไปข้างหน้าในด้านของบริการอีก 1 สเต็ป ด้วยการพาธุรกิจก้าวสู่ “Major 5.0 Digitalization Society” หรือการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า เนื่องจากทุกวันนี้เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมเจอร์จึงต้องก้าวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป

การก้าวสู่ “Major 5.0 Digitalization Society” ในครั้งนี้เมเจอร์ได้เริ่มพาองค์กรก้าวเข้าสู่ยุคดังกล่าวตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา ด้วยการนำเข้าระบบการฉายจากอเมริกา “ระบบเลเซอร์ โปรเจกเตอร์” ให้ภาพที่คมชัดขึ้นในระดับ 4k หรือมากกว่าระบบเดิม 2 เท่า ความสว่างเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากเดิม และให้เฉดสีเพิ่มมากขึ้นเป็น 35 ล้านล้านเฉดสี จากเดิมเพียง 16 ล้านเฉดสี มาให้บริการใน 3 โรงภาพยนตร์ที่สาขาพารากอน ซีนีเพล็กซ์ ประกอบด้วย Siam Pavalai, Bangkok Airways Blue Ribbon Screen และ Enigma

นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปใช้กับโรงที่เป็น Premium Screen อย่างสาขาเอ็มควอเทียร์ เวสต์เกต อีสต์วิลล์ และรัชโยธิน เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าที่ล้ำทันสมัย คุ้มค่า เหมาะกับการชมภาพยนตร์ที่มีอรรถรสอย่างเต็มที่

วิชา พูลวรลักษณ์ พาโรงหนังก้าวสู่ยุค 5.0

วิชา กล่าวต่อไปว่า ปี 2561 นี้ ธุรกิจโรงภาพยนตร์และภาพยนตร์ทั่วโลกยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสกับหลายธุรกิจที่ชะลอตัวลง เห็นได้จากอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์และภาพยนตร์ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล

ในส่วนของบริษัทเองก็ได้มีการนำเทคโนโลยีเสมือนจริง Virtual Reality (VR) มาต่อยอดธุรกิจ โรงภาพยนตร์ ภายใต้ชื่อ IMAX VR หรือเกมในรูปแบบ VR แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแห่งที่ 7 ของโลก ด้วยการร่วมทุนกับไอแมกซ์ คอร์ปอเรชั่น ในสัดส่วน 50:50 เพื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามา

ก่อนหน้าที่นำเทคโนโลยี VR เข้ามาให้บริการในไทย ได้มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปเปิดให้บริการมาแล้วใน 6 แห่ง คือ ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง โตรอนโต ประเทศแคนาดา อังกฤษ และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่ดีอย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส เข้ามาร่วมเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์ให้ ภายใต้ชื่อ “AIS IMAX VR”

“เราต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดและประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้ชมภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยี VR ที่ก้าวล้ำ ด้วยแว่น VR จาก StarVR HTC Oculus และเทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวบนตัวผู้เล่น ผู้เล่นจะถูกส่งเข้าสู่โลกเสมือนจริง ที่สมจริงมากกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้”

สำหรับบริการของ “AIS IMAX VR” ที่วิชานำมาให้บริการที่โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ประกอบด้วย ห้อง 8 ห้อง ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง และสามารถปรับให้เข้ากับประสบการณ์ของแต่ละเนื้อหา VR ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเดี่ยว หรือผู้เล่นแบบทีม

นอกจากนี้ ยังมีห้อง GloStation จะเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่จะพาผู้เล่นเกมหลุดไปยังประสบการณ์นั้นๆ โดยมีความสมจริงที่เหนือกว่าห้องอื่นๆ อีกทั้งยังรองรับผู้เล่นได้มากถึง 4 คน เพื่อรวมตัวเป็นทีมและต่อสู้ด้วยระบบที่ทำให้ผู้เล่นสามารถขยับร่างกายได้อย่างอิสระ

ในส่วนของเกมที่นำมาบริการลูกค้าจะมีด้วยกัน 7 เกม คือ John Wick Chronicles, Justice League, Space Flight : Orbital Emergency, Deadwood Mansion (GloStation), Raw Data, Life of Us และ Eagle Flight ซึ่งในส่วนของระยะเวลาการเล่นแต่ละเกมจะอยู่ระหว่าง 7-30 นาที ในราคาเริ่มต้นที่ 250 บาท/คน/เกม ยกเว้นเกม Deadwood Mansion (GloStation) 650 บาท/คน/เกม

วิชา พูลวรลักษณ์ พาโรงหนังก้าวสู่ยุค 5.0

วิชา กล่าวอีกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้เมเจอร์ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาให้บริการผู้บริโภคอยู่เสมอๆ ซึ่งการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักที่บริษัทจะให้ความสำคัญนับจากนี้ เพื่อพาธุรกิจก้าวเข้าสู่ยุค 5.0

“กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเกม VR เราจะเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีความแปลกใหม่ เช่น กลุ่มวัยรุ่น คนเริ่มทำงาน หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงเหล่าเกมเมอร์ที่ถือเป็นตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตและค่อนข้างน่าสนใจในตอนนี้”

นอกจากจะให้ความสำคัญกับบริการด้วยการนำเทคโนโลยีมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าแล้ว วิชายังให้ความสำคัญกับการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ใหม่ๆ ควบคู่กันไป เนื่องจากตลาดต่างจังหวัดยังมีโอกาสให้เข้าไปขยายธุรกิจได้อีกมาก โดยเฉพาะจังหวัดเมืองรอง

“วันนี้แลนด์สเคปของการทำธุรกิจเปลี่ยนไปหมดแล้ว นับจากนี้ไปเราจะไม่เน้นทำโรงหนังแค่เฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ เท่านั้น แต่เรามองไปถึงระดับอำเภอและตำบล ซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจที่เราจะจับมือร่วมกัน เพื่อนำโรงหนังเข้าไปเปิดให้บริการคือ ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์และห้างเทสโก้ โลตัส”

จำนวนโรงภาพยนตร์ที่วิชาจะนำไปเปิดให้บริการในห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์และห้างเทสโก้ โลตัส ในตลาดต่างจังหวัดจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 โรง มีที่นั่งประมาณ 150-200 ที่นั่ง เนื่องจากจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะมีน้อยกว่าสามารถในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลัก

“แม้รายได้จากโรงหนังในระดับอำเภอและตำบลอาจสู้ในเมืองไม่ได้ เนื่องจากจำนวนประชากรในพื้นที่ ราคาตั๋ว และจำนวนโรงหนังมีความแตกต่างจากกรุงเทพฯ แต่มันก็คือ โอกาส ในเมื่อเราต้องการให้ผู้ชมในต่างจังหวัด เพื่อให้ได้สัมผัสกับเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ดี เราก็ต้องเจาะลึกมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเมืองใหญ่มีศูนย์การค้าเปิดเกือบครบแล้ว”

ขณะเดียวกัน ก็เดินหน้านำธุรกิจโรงภาพยนตร์ไปบุกตลาดต่างประเทศ เน้นกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีเป็นหลัก จากปัจจุบันได้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์เข้าไปเปิดให้บริการแล้วใน สปป.ลาว และกัมพูชา

แนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการเดินตามยุทธ์ศาสตร์ที่วิชาได้วางไว้ว่าจะพาธุรกิจโรงภาพยนตร์ก้าวสู่ 1,000 โรง ในปี 2020 (2563) หรืออีก 2 ปี แบ่งเป็นในประเทศไทย 900 โรง และกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี 100 โรง