posttoday

ใช้ชีวิตไม่ระวัง ทำไขมันพอกตับ

06 มีนาคม 2561

พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง นิยมบริโภคอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันในปริมาณสูง

เรื่อง พุสดี สิริวัชระเมตตา

พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง นิยมบริโภคอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันในปริมาณสูง ขนมหรืออาหารที่หวานมากจนเกินไป แถมยังขาดการออกกำลังกาย เป็นบ่อเกิดของโรคไขมันพอกตับ หรือโรคตับคั่งไขมัน หนึ่งใน "กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง" (Non-Communicable Diseases, NCDs)" เป็นภัยเงียบร้ายแรงแบบไร้อาการ และพบได้ในคนทุกเพศ ทุกวัย ความน่ากลัวของโรคนี้คือสามารถนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งตับได้ ถ้าหากไม่ดูแลรักษาตัวให้ดี

โรคไขมันพอกตับพบได้บ่อยในคนอ้วนลงพุงที่มีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องมากจนเกินควร วิธีสังเกตง่ายๆ คือ ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 90 ซม. ส่วนผู้หญิงมีรอบเอวเกิน 80 ซม. โดยส่วนใหญ่คนอ้วนลงพุงมักมีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน เช่น มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index-BMI) เกิน 25 (คำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมต่อส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ เพราะโรคนี้พบได้ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติเช่นกัน โดยโรคไขมันพอกตับมักพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง ดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้จึงมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ รวมทั้งโรคมะเร็งของอวัยวะต่างๆ มากขึ้นด้วย

สำหรับวายร้ายที่เป็นต้นเหตุของโรคไขมันพอกตับ คือ ไขมันที่เข้าไปแทรกอยู่ในเซลล์ตับมากกว่าปกติ ซึ่งโดยทั่วไปคนปกติไม่ควรมีไขมันเกินกว่า 5-10% เนื่องจากไขมันที่เพิ่มมากขึ้นนี้ เมื่อพอกพูนจนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลทำให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบและถูกทำลาย เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ จะเกิดเป็นแผลเป็นที่ตับและพัฒนาต่อไปจนเป็นตับแข็ง ซึ่งเป็นสภาพของตับที่อ่อนแอไม่แข็งแรงและทำงานได้น้อยกว่าปกติ จนอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด ทั้งนี้มะเร็งตับถือว่าเป็นโรคมะเร็งที่น่ากลัวมาก เพราะมีความรุนแรงและรักษาให้หายขาดได้ยาก ที่สำคัญคือเป็นมะเร็งในลำดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตคนไทยและคนทั่วโลกในแต่ละปี

ด้วยความที่โรคไขมันพอกตับเป็นโรคที่ไม่ค่อยแสดงอาการใดๆ ชัดเจน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้จนกว่าจะตรวจพบตอนเช็กสุขภาพร่างกาย เช่น ตรวจเลือดพบว่ามีค่าเอนไซม์ของตับ (AST หรือ SGPT) สูงกว่าเกณฑ์ปกติ หรือเข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง เพราะฉะนั้นเมื่อทราบหรือสงสัยว่าเป็นโรคนี้แล้ว ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดต่อไป ตั้งแต่การตรวจเลือดเพิ่มเติมว่าไม่มีโรคตับจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี หรือไวรัสตับอักเสบซี หรืออาจตรวจวัดความยืดหยุ่นของตับ ที่สามารถบอกได้ว่าตับมีพังผืดมากน้อยเพียงใด หรือมีไขมันสะสมอยู่เท่าไร n