posttoday

ลาดา อาภาภัทร + บุญโทน คนหนุ่น แบบอย่าง ‘ความดี’ ที่ได้จากคุณพ่อ

11 พฤศจิกายน 2560

"ลาดา" อาภาภัทร สุขสวัสดิ์ชล หรือ ลาดา อาร์สยาม นักร้องสาวสวย บุคลิกร่าเริงสดใส

 โดย ภาดนุ ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

 "ลาดา" อาภาภัทร สุขสวัสดิ์ชล หรือ ลาดา อาร์สยาม นักร้องสาวสวย บุคลิกร่าเริงสดใส วัย 19 ปี ที่หลายคนเห็นแล้วรู้สึก ว้าว! ในความน่ารักของเธอ

 ลาดาเป็นคนรุ่นใหม่มากความสามารถที่มีดีกรี Miss Smart Teen จากเวทีประกวด Miss Teen Thailand 2013 และยังเคยฝากฝีมือในงานละครมาแล้วจากเรื่อง "ธิดาแดนซ์" ทางช่อง 3 และ "มนต์รักอสูร" ทางช่อง 8

 เมื่อมีทั้งความสวย ความสามารถ และพรสวรรค์ในการร้องเพลง เธอจึงได้เดินตามความฝันด้วยการเป็นนักร้องค่ายอาร์สยามสมใจ โดยปล่อยซิงเกิลแรกที่ชื่อ “แชะ แชะ (อยากเซลฟี่กับเธอ)” ไปแล้ว

 เรียกว่าเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น (ลูกสาวคนเดียว) ของคุณพ่อ "บุญโทน คนหนุ่ม" เจ้าพ่อเพลงแหล่ที่คนไทยรู้จักกันดี และในช่วงต้นปี 2561 เธอก็จะมีซิงเกิลใหม่ให้แฟนๆ ได้ติดตามเช่นกัน

ลาดา อาภาภัทร + บุญโทน คนหนุ่น แบบอย่าง ‘ความดี’ ที่ได้จากคุณพ่อ

ลาดาพูดถึง คุณพ่อบุญโทน

 “หนูได้เข้ามาเป็นนักร้องค่ายอาร์สยาม เพราะเคยมาออกรายการ ‘เสียงสวรรค์พิชิตฝัน’ ที่ปะป๊าเป็นคอมเมนเตเตอร์ในรายการ หนูก็มาร้องสนุกๆ เพราะจะมีเทปที่ชวนญาติๆ ของคนในรายการมาร้องอยู่เทปหนึ่ง ด้วยความที่ร้องเพลงกับปะป๊ามาตั้งแต่ 6 ขวบก็เลยทำได้ ไม่รู้สึกเขิน พอค่ายอาร์สยามเปิดออดิชั่น หนูก็ลองมาเทสต์เสียงดู จึงได้เป็นนักร้องฝึกหัดอยู่ 1 ปี และปีนี้จึงได้มีซิงเกิลแรกออกมาค่ะ

 "ตอนเด็กๆ หนูเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงตั้งแต่เรียนชั้นประถม-มัธยม อยู่ที่ จ.ราชบุรี มีทั้งไปออกค่ายทำงานจิตอาสาปลูกป่าชายเลน ทำกิจกรรมสันทนาการด้วยการร้องเพลงให้น้องๆ ฟัง หนูทำความดีเพื่อสังคมมาเรื่อยๆ พอโตขึ้นมาเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต หนูก็ได้รับรางวัลลูกกตัญญู จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย

 "เมื่อได้มาเป็นนักร้องก็ไปทำกิจกรรมกับค่ายอาร์สยาม เช่น ไปร้องเพลงสร้างความสนุกสนานในวันเด็กให้กับเด็กพิการ นำของใช้ ขนม และตุ๊กตาไปมอบให้น้องๆ แล้วก็มีการอ่านหนังสือเสียงให้คนพิการด้วยค่ะ”

 ลาดาบอกว่า ต้นแบบในการทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่นนั้น เธอได้มาจากคุณพ่อของเธอ แล้วพ่อยังเป็นต้นแบบในการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ อีกด้วย เรียกว่าถ่ายทอดกันมาทางสายเลือดโดยตรงเลย

 “ปะป๊าอยู่ในวงการเพลงมานานก็ไม่เคยมีข่าวเสียหายอะไรเลย หนูจึงได้ต้นแบบในการวางตัวมาจากปะป๊าโดยตรง อย่างการร้องเพลงแหล่ของปะป๊าก็ถือเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง ประกอบกับหนูได้เคยอ่านพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงกล่าวว่า ผู้ที่เป็นศิลปินนั้นต้องเป็นต้นแบบในการทำความดีให้กับคนในสังคม และต้องนำส่วนที่เราทำได้ดีที่สุดไปสร้างสรรค์สังคมให้เจริญยิ่งขึ้น

ลาดา อาภาภัทร + บุญโทน คนหนุ่น แบบอย่าง ‘ความดี’ ที่ได้จากคุณพ่อ

 "หนูจึงน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้ ตอนอยู่โรงเรียนหนูก็จะช่วยสอนน้องๆ ร้องเพลงแหล่ ซึ่งพวกเขาก็นำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนได้

 "ปะป๊าชอบช่วยเหลือคนและมองโลกในแง่ดี จนหนูซึมซับนิสัยนี้มาด้วย ส่วนเรื่องการทำบุญก็มีคุณแม่เป็นต้นแบบเช่นกัน คือคุณแม่จะชอบชวนไปทำบุญและทำทานเป็นประจำ ถ้าถามว่าการทำความดีนั้นเราได้อะไรตอบแทน ก็ตอบได้ว่าอย่างแรกคือได้ความสุขค่ะ แม้ตอนเราทำดี คนอื่นอาจจะไม่เห็น หรือมองข้ามไป แต่ท้ายที่สุดเรารู้อยู่กับใจตัวเองว่าเราทำดี ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว หนูจึงพูดดี ทำดี และคิดดีต่อคนอื่นเสมอ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ”

 ลาดาทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมาคุณพ่อเป็นต้นแบบการใช้ชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก ทุกวันนี้คุณพ่อก็ก้าวเข้าสู่วัย 63 ปีแล้ว แต่ก็ยังขยันรับงานอีเวนต์ ทำขวัญนาค และงานเลี้ยงต่างๆ อยู่เสมอ เธอจึงอยากให้ท่านดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี อย่านอนดึก พักผ่อนเยอะๆ เพราะอยากให้ท่านแข็งแรงไปนานๆ

คุณพ่อบุญโทน พูดถึงลาดา

 “ตั้งแต่วันแรกที่ลาดาเกิดมา จนเดินได้และรู้ความ ผมจะสอนให้เขาไม่หวงของกินก่อนเลย มนุษย์เราถ้าไม่หวงของกินแล้ว ก็จะกลายเป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่น ตั้งแต่เรียนชั้นประถม ลาดามักจะซื้อขนมไปฝากเพื่อนๆ อยู่เสมอ เรียกว่าเราปลูกฝังเขามาตั้งแต่เด็กๆ เลยในเรื่องความมีน้ำใจ การให้เกียรติผู้อื่น และการมีสัมมาคารวะ

 "ตั้งแต่เลี้ยงลาดามา ผมกับภรรยาไม่เคยตีลูกเลย ถ้าเขาทำผิด ผมจะเรียกมาอบรมเป็นชั่วโมงๆ พูดสอนให้ฟังจนสำนึกได้ ว่าต่อไปอย่าทำผิดอีก ตอนเด็กๆ ลูกอาจจะร้องไห้โยเยบ้าง แต่เวลาผมอบรมนี่ ห้ามภรรยาเข้ามายุ่ง และเมื่อภรรยาอบรมลูก ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเช่นกัน”

 บุญโทนบอกว่า เมื่อลูกสาวเริ่มโตเป็นวัยรุ่น เขาก็จะสอนเสมอว่า ลูกต้องทำความดีเยอะๆ ให้สมกับเป็นลูกศิลปินที่มีคนรู้จักทั่วประเทศ เพราะเมื่อก่อนตัวเขาเองก็ชอบช่วยเหลือผู้คนมากมายจนจำไม่ได้ว่าช่วยใครไปบ้าง

 “อย่างเมื่อก่อนผมจะร้องเพลงในคาเฟ่ ตอนนั้นผู้ชายคนนี้เป็นเด็กเสิร์ฟ วันหนึ่งเขาก็มาบอกกับผมว่า ตอนนี้เขาไม่มีเงินจะกินข้าวเลย ผมก็ช่วยเหลือเขาไปโดยไม่คิดอะไร เมื่อเร็วๆ นี้ผมไปรับงานร้องเพลงที่ จ.บุรีรัมย์ อยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายกมือไหว้ ผมก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร เขาก็บอกว่าเขาคือเด็กเสิร์ฟที่ผมช่วยเหลือไว้เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของโรงสีฐานะร่ำรวย ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากๆ ที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือเขาในวันนั้น ผมจะสอนลูกสาวเสมอว่า ถ้าทำอะไรก็ต้องทำให้ดี ช่วยเหลือใครได้ก็ต้องช่วย คนเราแค่ไม่ทำชั่วเท่านั้น เราก็เป็นคนดีได้แล้ว

ลาดา อาภาภัทร + บุญโทน คนหนุ่น แบบอย่าง ‘ความดี’ ที่ได้จากคุณพ่อ

 "ยิ่งทุกวันนี้เห็นลูกสาวเป็นเด็กดี พูดจาไพเราะ ชอบช่วยเหลือคน รู้จักวางตัว ไม่ดูถูกคนที่ด้อยกว่า บอกเลยว่านี่คือความสุขที่สุดในชีวิตผมแล้ว พอลูกสาวเข้าวงการมาเป็นนักร้อง ก็มีเสียงคนพูดให้เข้าหูว่า ‘แหม ลูกสาวดูแบ๊ว ดูเรียบร้อยไปหรือเปล่า’ อันนี้ผมไม่ใส่ใจนะ เพราะคิดดูสิว่า คนเราถ้าจะดังควรดังในเรื่องดีใช่ไหม ไม่จำเป็นต้องดังในเรื่องข่าวเสียๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อแม่จะรู้สึกอายมากกว่า”

 บุญโทนเสริมว่า ทุกวันนี้เขายังใช้พรสวรรค์ในการแต่งเพลงแหล่กับงานที่มีลูกค้าว่าจ้างตลอดปี จึงดูแลชีวิตครอบครัวได้ดีพอสมควร การที่ลูกสาวคนสวยเข้าวงการมาเป็นนักร้อง เขาห่วงอย่างเดียวคือเรื่องมีแฟน เพราะกลัวเจอคนไม่ดี ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นไม่ค่อยน่าห่วง เพราะมีคุณแม่คอยติดตามไปด้วยกันตลอด ทั้งไปเรียน หรือไปทำงานร้องเพลง

 “นานๆ ผมจะอบรมลูกสักครั้ง แต่จะซีเรียสนะ สอนอะไรต้องจำ ผิดกับคุณแม่เขาที่จะสอนถี่ อบรมบ่อย จะออกแนวบ่นซะมากกว่า (หัวเราะ) ถ้าถามว่าผมคาดหวังไหม ว่าลูกสาวต้องโด่งดัง พูดตรงๆ ว่าพ่อแม่ทุกคนก็ย่อมต้องคาดหวัง แต่เราจะไม่ใช้วิธีไปฝากลูกสาวกับใครๆ เพื่อให้ได้งาน บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นพ่อลูกกัน ผมจะคิดว่าถ้าลูกแน่จริง ก็ต้องไปแคสติ้งงานหรือไปเทสต์เสียงเองสิ คือถ้าเขามีความสามารถจริงๆ เขาต้องมีโอกาสได้งาน ถ้าลูกขวนขวายเอง ผมกับภรรยาก็จะสนับสนุนเต็มที่

 "ผมจะสอนลูกสาวอยู่เสมอว่า เวลาทำอะไรต้องทำให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด แล้วการก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนักร้อง ย่อมต้องมีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดีตามมา อย่างพอหลายคนรู้ว่าลาดาเป็นลูกสาวผม ก็จะมีข่าวซุบซิบว่าพ่อดันลูกสาวนี่ แต่ที่จริงแล้วลูกสาวเขาใช้ความสามารถที่เขามีอยู่ เพื่อให้ได้มาเป็นนักร้องด้วยตัวเองจริงๆ เวลาลูกร้องเพลงออกงาน นานๆ ครั้งผมก็จะตามไปดูเพื่อติชมแนะนำลูก คือหัวอกพ่อแม่ทุกคน ผมว่าเราอยากจะดูแลลูกให้ดีที่สุด จนกว่าลูกเราจะโตเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละครับ”