posttoday

ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ความสุขในชีวิตสร้างได้ทุกวัน

21 ตุลาคม 2560

หลายคนคุ้นเคยกับชื่อของ ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าหรู

โดย พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ : กิจจา อภิชนรจเรข

 หลายคนคุ้นเคยกับชื่อของ ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าหรู เพราะหลายปีมานี้ เธอทุ่มเทอย่างหนักในฐานะผู้ริเริ่มและผู้อำนวยการ Luxellence Center ศูนย์สร้างสรรค์องค์ความรู้ด้านลักซ์ชัวรี่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ซีพี ออลล์ 

ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ความสุขในชีวิตสร้างได้ทุกวัน

 แต่จากนี้ สังคมจะได้เห็นเธอในบทบาทใหม่มากขึ้น หลังจากที่ตัดสินใจถอยออกมาจากงานประจำ เพื่อทุ่มเทกับการเป็นคุณแม่เต็มตัว ควบคู่ไปกับการกลับมาสานต่อธุรกิจแบรนด์เครื่องประดับของครอบครัว

 ดร.ฐิติพร กล่าวว่า นอกจากปีนี้จะเป็นปีที่แบรนด์เซ็ตเต้จะครบรอบ 10 ปีพอดี จึงเลือกใช้โอกาสนี้รีแบรนด์และปรับโฉมร้านให้เป็น Multi Brand Jewellery Retailer ร้านแรกในประเทศไทย

 ภายใต้ชื่อ เซ็ตเต้เพคคาติ ที่ไม่เพียงประกอบด้วยเครื่องประดับของแบรนด์ตัวเองแล้ว ยังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าด้วยการนำเข้าแบรนด์เครื่องประดับชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์มิสซิส (miSIS) จากอิตาลี และแบรนด์ชีลิน (Qeelin) จากฝรั่งเศส-ฮ่องกง มาไว้ในร้าน

 ปีนี้ยังเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะเธอก้าวสู่บทบาทใหม่ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือการเป็นคุณแม่

ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ความสุขในชีวิตสร้างได้ทุกวัน

 “แต่งงานมา 5 ปีแล้วค่ะ ในที่สุดก็ได้เป็นคุณแม่สมใจ ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นผู้หญิงบ้างาน แต่ก็เคยบอกกับตัวเองว่าถ้ามีเมื่อไหร่ลูกจะหยุดทำงานหนัก เพราะฉะนั้นพอมีลูกจริงๆ เราก็เลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับโฟกัสในชีวิตใหม่เสียที เรากำลังก้าวผ่านเฟสของชีวิตแห่งการทำงานมาแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงที่เราต้องทุ่มเทให้กับลูกอย่างจริงจัง

 "เรามักนึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า บริษัทถ้าไม่มีเรา ก็ยังมีพนักงานคนอื่น แต่ถ้าลูกไม่มีเรา เขาก็ไม่มีใคร เพราะฉะนั้นเราจึงตั้งใจกับตัวเองว่าจะเลี้ยงดูเขาเอง ช่วง 2-3 เดือนแรกเราเลี้ยงเขาเองไม่ต้องพี่เลี้ยง จนช่วงที่ต้องกลับมาทำงานถึงต้องเริ่มมีพี่เลี้ยง“

 ในเมื่อโฟกัสชีวิตเปลี่ยน ดร.ฐิติพร ยอมรับว่า เส้นทางชีวิตจากนี้ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป เธอเริ่มเฟดออกจากงานประจำ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงถ่ายโอนงานให้กับผู้อำนวยการคนใหม่ แต่เธอยังไม่ทิ้งบทบาทเวิร์กกิ้งวูแมน เพราะจะกลับมาลุยธุรกิจครอบครัวเต็มตัว นำความรู้ ประสบการณ์ คอนเนกชั่นที่มีทั้งหมดมาลงสนามจริง

 “จากแต่ก่อนเราอาจจะอยู่ในฝ่ายวิชาการ ให้ความรู้ ตอนนี้เราจะนำความรู้ที่ถ่ายทอดให้คนอื่น มาใช้จริงบ้าง ข้อดีของการทำธุรกิจของตัวเองคือ สามารถบริหารจัดการเวลาได้ ทุกวันนี้ลูกยังเล็ก ก็ต้องอาศัยบริหารเวลา ออกมาประชุมนอกบ้านไม่เกิน 4-5 ชั่วโมงก็กลับ อนาคตถ้าลูกโต เราอาจจะพาลูกไปออฟฟิศด้วย”

ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ความสุขในชีวิตสร้างได้ทุกวัน

 ถามว่าต้องบริหารจัดการหลายบทบาทในเวลาเดียวกันแบบนี้ ดร.ฐิติพร มีเคล็ดลับอย่างไร คำถามนี้ทำเอาผู้บริหารสาวคลี่ยิ้มก่อนตอบว่า

 “เต้นรำค่ะ สมัยเรียนปริญญาโท และปริญญาเอกอยู่ต่างประเทศชอบเต้นรำมาก เรียนจริงจังเพื่อการแข่งขันเลย จนช่วงที่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ก็ยังเต้นอยู่บ้าง แต่พอแต่งงานก็เฟดๆ ไป เชื่อมั้ยว่าสามีก็ใช้มุขมาขอเรียนเต้นรำเพื่อจีบเรา” (หัวเราะ)

 ดร.ฐิติพร บอกเล่าอย่างออกรสว่า ข้อดีของการเต้นรำคือ เป็นการคาร์ดิโออย่างหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์ดีมาก ได้บริหารทุกส่วนในเวลาเดียวกัน แถมยังได้ฝึกเรื่องบุคลิกภาพการยืน เดิน นั่งไปในตัว แถมยังเป็นกิจกรรมที่ฝึกเรื่องการโฟกัสและสมาธิได้เป็นอย่างดี

 “ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงการเต้นรำนะ เพราะเป็นกิจกรรมที่เราชอบ เวลาเต้นรำแล้วเหมือนเราได้ปลดปล่อยกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย ซึ่งนี่อาจจะเป็นเสน่ห์ของการเต้นรำ และเพราะแพสชั่นที่มีนี่เองทำให้เรายอมเปิดคลาสสำหรับสอนเต้นรำบ้าง เพราะเราเองก็ไม่ได้มีเวลาสอนมากนัก อย่างคู่ที่มาเรียน ก็อย่างเช่น คู่ของเจย์-จริยดี สเปนเซอร์ วสุ วิรัชศิลป์ กับ จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์”

 นอกจากการเต้นรำที่ช่วยให้ ดร.ฐิติมา สวยไม่สร่าง คือ วิธีคิดและทัศนคติการมองโลกที่เชื่อว่า ”เราทำได้”

ดร.ฐิติพร สงวนปิยะพันธ์ ความสุขในชีวิตสร้างได้ทุกวัน

 “วิธีคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถจัดการได้ มองว่าปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้องานที่มีไว้ให้เราแก้ไข และหาทางออก เมื่อนั้นก็จะไม่เครียด และไม่ทุกข์ อย่างช่วงที่มีลูก คนถามเยอะมากว่า เหนื่อยมั้ย เราตอบเลยไม่เหนื่อย เพราะถ้าใจเรายังผูกกับความคิดว่าไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็น คิดลบๆ เราจะมีความสุขได้อย่างไร ถามว่าวันนี้มองว่าเราประสบความสำเร็จ หรือพอใจกับชีวิตหรือยัง ส่วนตัวเราพยายามสร้างความสุขให้ตัวเองในทุกวัน”

 อย่างไรก็ตาม ดร.ฐิติพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ในอนาคตเธอยังมีฝันที่อยากจะไปให้ถึง ในด้านธุรกิจเธออยากผลักดันให้เซ็ตเต้กลายเป็นแบรนด์เครื่องประดับไทยอันดับต้นๆ ที่คนไทยนึกถึง ส่วนตัวเธอเองยังรักบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าหรูที่มีความรู้ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ จึงอยากให้ความรู้ด้านนี้ต่อไป ผ่านรูปแบบการบรรยายหรืองานเขียน ส่วนในบทบาทของการเป็นแม่ แน่นอนว่าเธอหวังให้ลูกเติบโตเป็นคนดีของสังคมต่อไป