posttoday

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

26 สิงหาคม 2560

ควันหลงวันแม่ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา กิจกรรมวันแม่กับลูกๆ ได้สร้างความรัก ความประทับใจ และความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในครอบครัว

โดย...พริบพันดาว

ควันหลงวันแม่ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา กิจกรรมวันแม่กับลูกๆ ได้สร้างความรัก ความประทับใจ และความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในครอบครัว

เช่นกัน เดือน ส.ค. ได้มีการจัดงานสัปดาห์นมแม่โลก 2017 "รวมพลัง สร้างสังคมนมแม่ ให้ยั่งยืน"

ว่าไปแล้ว ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2560 และประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2560 เป็นการร่วมผลักดันมากว่า 36 ปี

มาดูการตอบรับและการปฏิบัติตามกฎหมายให้บังเกิดผล ซึ่งน่าติดตามใช่น้อย

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

การขับเคลื่อนจากองค์กรเครือข่ายพันธมิตรนมแม่โลก

จากข้อมูลรายงานสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทย พบว่าแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนถึง 6 เดือน มีอัตราร้อยละ 23 แม่ที่สามารถให้นมแม่ได้ถึง 1 ปี มีอัตราร้อยละ 24 แม่ที่สามารถให้นมแม่ได้ถึง 2 ปี มีอัตราร้อยละ 13 ซึ่งอุปสรรคสำคัญที่แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ คือการเริ่มต้นในโรงพยาบาล และระยะ 2 สัปดาห์แรก หลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่ที่บ้านและอยู่ในชุมชน

ในวันที่ 1-7 ส.ค.ของทุกปี เป็น "สัปดาห์นมแม่โลก" ที่ทุกประเทศทั่วโลก ในปี 2560 นี้ เช่นเดียวกัน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับองค์กร Alive and Thrive องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรเครือข่ายพันธมิตรนมแม่โลก (World Alliance for Breastfeeding Action - WABA) ออกมาร่วมรณรงค์ให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนมแม่มีประโยชน์มากมายมหาศาล

ในงาน "รวมพลัง สร้างสังคมนมแม่ ให้ยั่งยืน" พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวในงานครั้งนี้ว่า ในประเทศไทยการรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต้องอาศัยการปกป้อง การส่งเสริม และการสนับสนุน ซึ่งธีมสัปดาห์นมแม่โลกในปีนี้ "รวมพลัง สร้างสังคมนมแม่ ให้ยั่งยืน" หมายถึง การรวมพลังของทุกฝ่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้าง รวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว ให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกิดความยั่งยืนในสังคมไทย

"พ.ร.บ.นี้เป็นกฎหมายห้ามโฆษณาอาหารทารกอายุ 0-12 เดือน ขณะที่อาหารเด็กเล็ก 1-3 ขวบ โฆษณาได้ แต่ต้องไม่เป็นการโฆษณาข้ามผลิตภัณฑ์ หรือสื่อถึงอาหารทารก และห้ามไม่ให้มีการส่งเสริมการขายอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก"

จากข้อมูลรายงานการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (MICS 5th by UNICEF พ.ศ. 2558-2559) พบว่า แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนถึง 6 เดือน มีร้อยละ 23 แม่ที่สามารถให้นมแม่ได้ถึง 1 ปี มีร้อยละ 33 แม่ที่สามารถให้นมลูกได้ถึง 2 ปี มีอัตราร้อยละ 16

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

อุปสรรคสำคัญที่แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ คือการเริ่มต้นในโรงพยาบาล และระยะ 2 สัปดาห์แรกหลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่ที่บ้านและอยู่ในชุมชน เส้นทางเพื่อช่วยให้แม่ให้นมแม่ได้สำเร็จ (Breaking the Barrier to Successful Breastfeeding) เริ่มจากโรงพยาบาล ไปสู่ชุมชน และครอบครัว ต้องให้การสนับสนุน ส่งเสริม และปกป้อง ให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ประกอบด้วย 6 ประเด็น คือ 1.ลงทุน 9 เดือน กำไรตลอดชีวิต 2.รู้ว่ามีน้อง ฝากท้องทันที 3.โฟเลต ไอโอดีน ธาตุเหล็ก สำคัญต่อลูกในท้อง 4.ชั่วโมงแรกที่ลูกเกิด บอกหมอ พยาบาล ช่วยนำลูกมาวางบนอกแม่ตั้งแต่ในห้องคลอด 5.วันแรกที่ลูกเกิดแยกแม่แยกลูกหลังคลอดไม่ดีนะ 6.น้ำนมมาแน่ถ้าแม่รู้และทำถูกวิธี

สำหรับสัญลักษณ์โลโก้สัปดาห์นมแม่โลก 2560 ประกอบด้วยรูปผู้ใหญ่ 2 คน และเด็ก 1 คน สื่อถึงเพิ่มแรงสนับสนุนให้แข็งแกร่งขึ้น รูปผู้ใหญ่ที่มีสัดส่วนเท่าๆ กัน สื่อถึงความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการสาธารณสุข เส้นวงกลมสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับตัวอักษร “Together” สื่อถึงความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้นได้จากการรวมพลังจากทุกฝ่าย

ประสบการณ์ตรงจากเวทีเสวนา

จากเวทีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พร้อมเดินหน้า “พ.ร.บ.นมผง” ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 9 ก.ย. 2560 นี้ โดยกรมอนามัยจับมือสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศและโรงพยาบาลเอกชนปฏิบัติตามกฎหมายเคร่งครัด หยุดโฆษณาและการตลาดเชิงรุกที่ละเมิดสิทธิ ขณะที่วิชาชีพแพทย์ พยาบาล ต้องปรับตัว ไม่การันตีคุณภาพให้บริษัทนมผง ด้านภาคเอกชนย้ำต้องส่งเสริมพื้นที่อำนวยความสะดวกให้มารดาทั้งในโรงงานและออฟฟิศ หนุนการใช้กฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก

นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ชี้แจงภาพรวมว่า  ที่ผ่านมาผู้ประกอบการธุรกิจนมผงจำนวนมากใช้กลยุทธ์การโฆษณาและการตลาดที่ละเมิดประกาศสาธารณสุขที่ออกตามหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast milk Substitutes) ของสมัชชาอนามัยโลก

“ส่งผลให้แม่เข้าใจผิดว่านมผงดีเท่านมแม่ และการบริโภคนมแม่ไม่เพียงพอ ต้องมีนมผงด้วย และต่อมาในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ในปี 2553 ได้มีฉันทามติ เรื่อง 'การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก' หลายภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนมติ จนเป็นพลังหนุนให้กรมอนามัยยกร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาเป็น พ.ร.บ.การควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 หรือ พ.ร.บ.นมผง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน คือ วันที่ 9 ก.ย. 2560 นี้”

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

กฎหมายนี้จะมีผลให้แนวทางการส่งเสริมการตลาดที่บริษัทนมผงเคยดำเนินการอยู่เดิมไม่สามารถดำเนินการได้อีก นพ.ธงชัย บอกว่า เช่น การติดต่อกับมารดาที่ตั้งครรภ์โดยตรง การแจกนมผงที่โรงพยาบาลให้มารดานำกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้าน หรือการให้ข้อมูลที่เกินความเป็นจริงต่างๆ เป็นต้น

 “โดยกรมอนามัยได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเอกชนและสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านส่งเสริมสุขภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ อบรมให้ความรู้ที่ตรงกัน รวมทั้งมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อบังคับใช้กฎหมายด้วย

 “กรมอนามัยกำลังเร่งออกประกาศรองรับการดำเนินการตาม พ.ร.บ.นี้ภายใน 180 วัน ซึ่งเป็นการกำหนดรายละเอียดบางอย่างให้มีความชัดเจน เช่น การบริจาคของผู้ประกอบการนมผงลักษณะใดทำได้หรือทำไม่ได้ การจะให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคโดยตรงต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เป็นต้น”

นพ.ธงชัย ขยายต่อว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถูกผลักดันมาตลอด 30 ปี และกว่า 9 ปี ที่ผลักดันเป็นกฎหมายและใช้เวลาขับเคลื่อนหลังได้มติจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอีก 7 ปี เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้าจากตลาดนมผงมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท/ปี แต่ความพยายามของหลายภาคส่วนที่ผ่านมาก็เริ่มทำให้สัดส่วนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้นตามลำดับแล้ว จาก 3% ในปี 2549 เป็น 12.3% ในปี 2555 และเพิ่มเป็น 23.1% ในปี 2559

“กฎหมายฉบับนี้มีบทลงโทษปรับไม่เกิน 3 แสนบาท แต่เราไม่ต้องการใช้กฎหมายบังคับมากเกินไป ต้องการขอความร่วมมือมากกว่า โดยมีอีกหลายเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมให้แม่มีโอกาสเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่อยู่ระหว่างพิจารณา คือ แนวทางเพิ่มวันลาคลอดเป็น 6 เดือน เป็นต้น”

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

ด้าน ศ.คลินิก พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมากลยุทธ์การตลาดนมผงมีผลต่อการตัดสินใจของแม่ในการเลือกใช้นมผสมแทนนมแม่ มีการสื่อสารที่ทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือใช้ภาพประชาสัมพันธ์ที่มีความทันสมัยและเทคโนโลยี รวมถึงให้ข้อมูลว่านมผสมเป็นเรื่องสมัยใหม่ สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพลูกได้ เช่น อาการท้องอืด ใช้นมนี้แล้วจะย่อยง่าย เด็กเก่ง เป็นต้น

 “หลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.แล้ว บุคลากรสาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล กุมารแพทย์ นักสาธารณสุขชุมชน ฯลฯ คงต้องระมัดระวังตัว ไม่เป็นผู้ไปการันตีให้บริษัทนมผง เนื่องจากมีรายงานในประเทศไทยว่า แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผสม ร้อยละ 81.8% จะเลือกยี่ห้อนมตามที่ได้รับแจกและคำแนะนำจากบุคลากรสาธารณสุขจึงควรช่วยกันระมัดระวัง เพราะมีทั้งสิ่งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม อาทิ การใช้โปสเตอร์ติดในตึกทารกแรกเกิด การรับเงินสนับสนุนของโรงพยาบาล การแจกตัวอย่างนมเมื่อไปรับสูติบัตร การจัดกิจกรรมให้ความรู้กับแม่ในโรงพยาบาล การมอบชุดของขวัญแรกเกิด และการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ เป็นต้น

 “การที่กฎหมายใหม่จะมีประโยชน์ต่อมารดา ครอบครัว และสังคมไทยมากที่สุด จะต้องทำความเข้าใจที่มาที่ไป เพื่อให้มั่นใจว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการให้อาหารและการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดสำหรับทารกและเด็กเล็ก สร้างความเข้าใจต่อกันอย่างมีมิตรไมตรี เพราะการเอาชนะกันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่หันมาให้ความรู้ที่ถูกต้องระหว่างนมแม่และนมผง ปกป้อง ส่งเสริม และสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สร้างความเข้าใจเนื้อหาในกฎหมายโค้ดมิลค์ และปฏิบัติตามให้ถูกต้อง น่าจะดีที่สุด”

 ศ.คลินิก พญ.ศิราภรณ์ คาดหวังว่า มีอีกหลายเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันรณรงค์เพื่อสร้างปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาทิ การรณรงค์ให้แม่คลอดลูกเองแทนการผ่าท้อง และไม่แยกแม่ลูกออกจากกันหลังคลอด หมายถึงภายในไม่เกิน 1 ชั่วโมง ต้องให้เด็กแรกเกิดได้กลับมาอยู่กับแม่ ทั้งหมดจะช่วยกระตุ้นให้แม่มีน้ำนมได้อย่างดี

สำหรับ ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่จะถูกควบคุมการส่งเสริมการตลาดตามกฎหมายนี้ ประกอบด้วย 1.อาหารสำหรับทารก (อาหารสำหรับเด็กอายุ 0-12 เดือน) 2.อาหารสำหรับเด็กเล็ก (อาหารที่ใช้สำหรับเด็กอายุ 1-3 ขวบ แต่จะต้องมีประกาศรองรับก่อน) และ 3.อาหารเสริมสำหรับทารก โดยสาระสำคัญ คือ ห้ามผู้ประกอบการส่งเสริมการตลาดนมผงเพื่อกระตุ้นยอดขาย ทั้งการลดแลกแจกแถม การติดต่อหญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกเล็ก การจัดหรือสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการเกี่ยวกับอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก และการให้ประโยชน์กับบุคลากรทางสาธารณสุข เป็นต้น รวมถึงกำหนดให้ต้องทำฉลากให้แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างอาหารทารกและเด็กเล็ก

‘อิ่มอุ่น’ ลุ้นสร้างสังคมนมแม่ให้ยั่งยืน

 “กฎหมายไม่ได้ห้ามผลิตและจำหน่ายนมผง แต่ไม่ให้ส่งเสริมการขาย เพื่อไม่ให้ข้อมูลอันเกิดจากการทำตลาดของผู้ประกอบการไปเป็นปัจจัยที่ทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่สำเร็จ เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการใช้วิธีการและกลยุทธ์หลากหลายในการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลที่เหมาะสมอย่างที่ควรจะให้แก่ผู้บริโภค และยังทำให้เข้าใจผิดคิดว่านมผงดีกว่าหรือมีประโยชน์เท่ากับนมแม่ ทั้งที่ความจริงแล้ว นมแม่มีสารอาหารมากกว่านมผงมากนัก และทำให้เข้าใจผิดว่านมแม่ไม่พอ ทั้งๆ ที่การให้นมผงเร็วเกินไปมีผลขัดขวางการผลิตนมแม่โดยธรรมชาติ ซึ่งหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้วันที่ 9 ก.ย.แล้ว สังคมและผู้บริโภคต้องช่วยกันสอดส่องดูแล และส่งสัญญาณไปยังผู้ควบคุมกำกับเมื่อเห็นมีการกระทำความผิด”

พยัพ แจ้งสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักพัฒนาองค์กร บริษัท ไทยซัมมิท ฮาร์เนส กล่าวถึงประสบการณ์การบริหารจัดการการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการ ต้องยอมรับว่าพนักงานยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นระบบ ขาดช่องทางการเข้าถึงแหล่งองค์ความรู้ อันเป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจของพนักงานที่จะเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตัวเอง ผิดกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายนมผงที่มีศักยภาพมากพอที่จะนำเสนอข้อมูลประโยชน์ของนมผงสู่ผู้บริโภคผ่านช่องทางการตลาดทางสื่อต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และลืมประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

 “สำหรับแม่ที่ทำงานในสำนักงาน มีหลายวิธีที่จะส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่น การเก็บน้ำนมทำสต๊อกไว้ให้ลูก สามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ 1.กรณีบีบเก็บน้ำนมด้วยมือแม่เอง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด องค์กรต้องจัดมุมเล็กๆ ในสำนักงาน มีความเป็นส่วนตัวมิดชิด ปลอดภัย สะอาด เพื่อให้แม่สามารถบีบเก็บน้ำนมได้ด้วยความสะดวกใจ 2.กรณีใช้เครื่องปั๊มน้ำนม กรณีนี้ก็จะง่ายและสะดวกเช่นกัน เพียงมีผ้าคลุมไหล่ที่ปกปิดส่วนของเต้านม ทำการติดตั้งเครื่องให้ปั๊มนมแม่ภายใต้ผ้าคลุม ซึ่งแม่ก็สามารถปั๊มเก็บน้ำนมไปพร้อมกับทำงานไปด้วย จะไม่ทำให้เสียเวลางาน” 

 ส่วนผู้ที่ปฏิบัติงานในสายการผลิตหรือในโรงงาน พยัพ มองว่า สถานประกอบกิจการต้องจัดมุมนมแม่ที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับบีบเก็บน้ำนมให้กับแม่มาใช้บริการ รวมถึงอาจมีการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ตู้เย็นสำหรับเก็บน้ำนมแบบแช่แข็ง ฯลฯ โดยบริษัทที่ทำเรื่องนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้ว ยังได้รับผลดีกลับมากับบริษัทเอง เมื่อพนักงานมีความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องการให้นมลูก และยังได้รับการดูแล รวมถึงให้กำลังใจจากผู้บริหารองค์กร ทำให้พนักงานรักองค์กรและทำงานในบริษัทนานขึ้น

 “เราพบว่าพนักงาน โดยเฉพาะผู้หญิง มีอายุงานเฉลี่ย 10 ปีขึ้นไป องค์กรก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะงานประกอบชุดสายไฟสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นงานหลักของบริษัท มีผู้หญิงสัดส่วนกว่า 80% จากพนักงานประมาณ 3,000 คน ต้องใช้ทักษะและความชำนาญมาก เมื่อพนักงานอยู่นานทำให้กระบวนการผลิตราบรื่น และการที่บริษัทให้ความสำคัญกับนมแม่มากกว่า 10 ปี ทำให้ผู้ประกอบการอื่นๆ สนใจมาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ประกอบการในต่างประเทศด้วย” 

มุมมองจากตลาดอาหารทดแทนนมแม่

ประเทศไทยได้ลงนามรับรองหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (WHO International code of Marketing of Breast-Milk Substitutes) จากที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 63 (WHA) ในปี 2553 ผ่านมาอีก 6 ปี ในปี 2559 จึงได้เข้าพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังจากที่ถูกประเทศผู้ผลิตนมผง อาทิ สหภาพยุโรป-สหรัฐ-ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ แสดงความกังวลในองค์การการค้าโลก (WTO) ในข้อที่ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีการกีดกันทางการค้าเกินความจำเป็น อาทิ การห้ามไม่ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์นมดัดแปลงสำหรับทารกและเด็กเล็ก การมีบทลงโทษให้จำคุกผู้ฝ่าฝืน ซึ่งขัดต่อหลักความตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT)

 แต่ฝ่ายไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีการบังคับใช้กับสินค้าอาหารทดแทนนมแม่จากทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favoured-Nation Treatment-MFN) เพราะไม่ได้บังคับว่าเด็กทุกคนต้องกินนมแม่ถึง 3 ปี และไม่ได้ห้ามแพทย์แนะนำการใช้นมผงให้แก่ผู้ปกครองของเด็กที่มีเหตุผลบ่งชี้ว่าควรได้รับอาหารอื่นนอกจากนมแม่ แต่เป็นการปิดช่องโหว่ที่บริษัทใช้ในการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อหาวิธีส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารทารกและเด็กเล็ก กว่า 80 ประเทศได้ออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผงแล้ว และส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลกด้วย ซึ่งก็สามารถออกกฎหมายได้สำเร็จ

 พญ.กิติมา ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ที่ประกอบด้วยบริษัทผู้ผลิตนม 6 บริษัท คือ แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส, ดูเม็กซ์, มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน, เนสท์เล่ (ไทย), เนสท์เล่ (ไทย) แผนกธุรกิจไวเอท นิวทริชั่น และแปซิฟิค เฮลธ์แคร์ ซึ่งมีการลงทุนรวมกันราว 3,000-4,000 ล้านบาท/ปี เปิดเผยกับสื่อมวลชนสายธุรกิจ เมื่อเดือน ก.ย. 2559 ว่าจากการศึกษาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เบื้องต้นพบว่าจะมีผลกระทบกับผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่าย เนื่องจากจะไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆ เพื่อสื่อสารหรือให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ทั้งทางตรงทางอ้อม

 นอกจากยอดขายที่อาจจะได้รับผลกระทบแล้ว อาจมีผลต่อเนื่องในแง่ของการลงทุน การจ้างงานด้วย เพราะช่องทางขายไม่สามารถทำกิจกรรมได้เหมือนอาหารอื่นๆ หรือยกตัวอย่าง กรณีของร้านขายยาที่ขายนมหรืออาหารสำหรับเด็ก เภสัชกรประจำร้านซึ่งอาจจะเป็นเจ้าของร้านด้วย จะไม่สามารถให้ข้อมูลกับคนที่เข้ามาซื้อนม และการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับนมก็อาจจะผิดกฎหมาย

 ที่สำคัญที่สุดคือ ข้อห้ามต่างๆ ตามร่าง พ.ร.บ.นี้ อาจจะส่งผลกระทบด้านโภชนาการกับเด็ก เพราะนมและอาหารที่มีสารอาหารเหมาะสมเพียงพอสำหรับทารกและเด็กเล็ก ซึ่งขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร และเป็นอาหารเด็กที่สามารถตอบโจทย์เรื่องสารอาหารสำหรับเด็กและความสะดวกของผู้ปกครอง ถูกควบคุมด้วยกฎหมายดังกล่าว ขณะที่อาหารอื่นที่ไม่เหมาะกับเด็กไม่ได้ขึ้นทะเบียน หาซื้อได้ง่าย กลับไม่ถูกควบคุม อาจทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้นแทน เพราะขาดข้อมูลที่เพียงพอ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าผู้บริโภคจำเป็น และควรที่จะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องในการนำไปพิจารณาในการประกอบการตัดสินใจในการซื้อสินค้า