"ดิลก ทองวัฒนา" ชีวิตคนก็เหมือนดั่งละคร
"ผมว่าเวลาที่คนเรามีความฝัน เรามักจะมองว่ามันเป็นเส้นตรง แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตมันไม่ได้เป็นเส้นตรงแบบนั้น"
เรื่อง...ภาดนุ / ภาพ...เสกสรร โรจนเมธากุล
หากพูดถึงดาราชายรุ่นกลาง รูปร่างสูง บุคลิกดี เสียงหล่อ ที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงไทย และมีงานละครให้แฟนๆ ได้เห็นตลอดทั้งปี ชื่อของ ดิลก ทองวัฒนา หรืออาหมู ของพี่ๆ น้องๆ นักแสดงในวงการบันเทิงต้องติดอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน แม้วันนี้ดิลกจะรับบทเป็นพ่อแล้วก็ตามที แต่ก็เป็นบทพ่อที่หลากหลาย แถมเขายังแสดงได้ดีทุกเรื่อง จึงไม่แปลกถ้าเขาจะมีคิวงานอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
แต่เป็นธรรมดาที่ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลง ในอดีตดิลกก็เคยเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จยืนอยู่บนจุดสูงสุดในวงการบันเทิง แล้วยังเคยยืนอยู่ในจุดที่ตกต่ำมาแล้วเช่นกัน ทว่าเรื่องนี้จะไปโทษโชคชะตาเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็มีส่วนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองด้วยเช่นกัน
“ผมก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนใกล้เรียนจบปริญญาตรี โดยมาเป็นนักเรียนการแสดงของช่อง 3 และเริ่มเล่นละครให้กับช่อง ระหว่างนั้นผมมีโอกาสได้เล่นละครเวที 2 เรื่อง จากนั้นก็ก้าวเข้ามาเป็นพระเอกละครโทรทัศน์อยู่ 7-8 ปี เรื่องแรกก็คือ ‘นางทาส’ ตามด้วย ‘อีสา’ และเรื่องที่ดังมากจนคนรู้จักจริงๆ ก็คือ ‘พฤกษาสวาท’ ที่เล่นคู่กับ อุทุมพร ศิลาพันธ์ ซึ่งถือเป็นคู่จิ้นในจอยุคนั้นเลยก็ว่าได้
จนมาได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำจากละครเรื่อง ‘กามนิต วาสิฏฐี’ ที่เล่นกับ จริยา สรณะคม (แอนโฟเน่) ตามด้วย ‘อีพริ้งคนเริงเมือง’ คู่กับ ใหม่ เจริญปุระ โดยรับบทเป็นหนึ่งในสามีของอีพริ้ง (หัวเราะ) เรียกว่าวนเวียนอยู่ในวงการละครโทรทัศน์เป็น 10 ปี ผมเคยเล่นภาพยนตร์แค่ 6-7 เรื่องเท่านั้น เรื่องที่คนจำได้ก็คือ ‘ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน’ ที่ได้เล่นกับ จารุณี สุขสวัสดิ์ ส่วนใหญ่แล้วผมจะเล่นละครมากกว่า”
ขณะที่กำลังไปได้ดีในอาชีพช่วงอายุ 34-35 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ผู้ชายต้องก้าวผ่านไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ด้วยการมีครอบครัว ดิลกได้สมรสกับภรรยาซึ่งเป็นคนนอกวงการ แต่โชคร้ายที่การใช้ชีวิตคู่ครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ จนมีผลต่อจิตใจทำให้ชีวิตช่วงนี้ของเขาเหมือนคนสะดุดล้มอย่างจัง
“ตอนนั้นเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่ ก็ทำให้จังหวะชีวิตของผมสะดุดและทำให้เสียความภาคภูมิใจในตัวเองไป ช่วงนั้นไปถ่ายละคร จิตใจก็ไม่อยู่กับงาน อยู่แต่กับปัญหาซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ดิ้นไม่ออก มีทั้งเรื่องหย่า เรื่องแบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัว จนทำให้เราทำงานไม่ได้ ผมเลยคิดว่าจะไม่เอาอะไรออกมาละ ตั้งใจจะออกมาแต่ตัว
ทีนี้การออกมาของเรามันออกมาแต่ร่างกาย คือมีตัวตน มีชื่อเสียง แต่ไม่มีเงิน ชีวิตมันไม่สมดุล ก็เลยทำให้อยู่ยาก นอกจากงานละครแล้ว ในช่วงที่มีปัญหาชีวิตผมยังทำงานพิธีกรในรายการทีวีอยู่ด้วย ซึ่งก็ทำไปแบบไม่ค่อยมีสมาธิกับงานสักเท่าไร ยิ่งมีหนังสือพิมพ์เขียน วิจารณ์การทำงานของผมว่าเหมือนมือสมัครเล่นไม่ใช่มืออาชีพ ด้วยจิตใจที่ไม่มั่นคงอยู่แล้ว เพราะยังแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ แถมยังถูกเจ้าของรายการคอมเพลนอีกว่าให้ปรับปรุง ซึ่งเกิดมาในชีวิตนี้ผมทำงานมาก็ไม่เคยถูกติติงสักที พอมาโดนต่อว่าเราก็รู้แล้วว่าต้องหยุดและควรถอนตัวออกมาดีกว่า”
นับจากนั้นดิลกจึงค่อยๆ เฟดตัวเองออกจากวงการ ตัดตัวเองออกจากเพื่อนฝูง และปฏิเสธไม่รับงานทุกอย่าง เพราะรู้ตัวดีว่าถึงทำไปก็ทำได้ไม่ดีพอ ด้วยวัยที่ยังไม่เยอะนักในตอนนั้น เขาจึงไม่รู้จักการปล่อยวาง และยังคงวนเวียนอยู่กับความทุกข์เดิมๆ
“ผมออกมาอยู่กับตัวเองเป็นปี เหมือนคนป่วยกายป่วยใจ ช่วงนั้นรู้สึกเหมือนจมน้ำ ชีวิตมันว่างเปล่า แต่ผมยังเชื่อว่าเวลามันคือเครื่องทดสอบตัวเรา ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าล้มละลาย และไม่เคยคิดจะทำร้ายตัวเองเลยนะ คิดแค่ว่าถ้าจะกลับไปเล่นละคร วงการนี้คงไม่มีที่ยืนให้เราแล้วล่ะ เพราะเราตัดตัวเองออกจากทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว แถมยังไม่ได้ให้ข่าวว่าชีวิตเราเป็นยังไง คือคนจะรู้เรื่องเราน้อยมาก”
ขณะที่ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงสับสน วันหนึ่งดิลกก็ต้องไปเป็นพิธีกรในรายการทีวีซึ่งเหลืออยู่รายการเดียวที่เขาทำ เขาจึงได้พบกับสาวสวยคนหนึ่งชื่อว่า “เกรซ ชนินทร” ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ในช่วงนั้น ซึ่งได้มาออกรายการทอล์กโชว์ที่เขาเป็นพิธีกรอยู่ แล้วบังเอิญเย็นนั้นมีงานเลี้ยงวันเกิดทีมงานคนนึงพอดี ทั้งคู่จึงมีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น
“โดยปกติผมไม่ชอบงานปาร์ตี้นะ แต่วันนั้นไม่รู้นึกยังไงถึงไปร่วมงาน ก็เลยได้คุยกับเกรซ แต่ยุคนั้นยังไม่มีมือถือ ผมก็เลยขอแต่เบอร์บ้านเธอไว้ หลังจากวันนั้นก็ได้ไปกินข้าวกันแค่ครั้งเดียว เพราะสถานการณ์ตอนนั้นยังคลุมเครือว่าผมหย่าจริงไหม เพราะยังไม่มีข่าวออกมา แต่ที่จริงผมหย่าแล้ว ผมเลยบอกกับเกรซว่า ‘เราคบกันได้นะ’ แต่เมื่อเธอกลับไปคุยกับญาติๆ พวกเขาก็คงจะห้าม ทำให้เธอรู้สึกลังเลพอสมควร”
ดิลก เล่าว่า หลังจากนั้นสองวันเกรซก็โทรศัพท์มาหาเขาที่เบอร์บ้าน แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้ย้ายออกจากบ้านภรรยาเก่าเพราะยังไม่มีที่ไป เมื่อเกรซได้ยินเสียงผู้หญิงลอดผ่านสายโทรศัพท์ไป เธอจึงห่างหายไปจากชีวิตเขาถึง 1 ปี
“ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถ้าเราต่างมีคนอื่นก็คงจะไม่ได้เป็นคู่กันแล้วล่ะ แต่ผมคิดว่าโชคชะตาคงจัดสรรไว้แล้ว วันหนึ่งก็มีคนมาจ้างให้ผมไปเป็นพิธีกรในงานอีเวนต์ ทำให้ผมกับเกรซมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง จำได้ว่าเป็นวันที่ 4 ก.พ. 2535 ซึ่งเป็นวันซ้อม เราได้มาเจอกันที่ลานจอดรถ ที่จริงผมก็โกรธนิดๆ ที่เธอหายไปเลย จึงได้แต่ทักทายกันเฉยๆ กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. 2535 ซึ่งเป็นวันจัดงานจริง ผมก็ขับรถไปรับ อุทุมพร ศิลาพันธ์ มาจากบ้าน เพราะเราเป็นพิธีกรคู่กัน พองานจบก็ต้องขับรถไปส่งอุทุมพรที่บ้าน พอเจอเกรซตอนกลับ ผมก็เลยขอไปส่งเธอที่บ้านทั้งที่มีอุทุมพรนั่งรถไปด้วย (ยิ้ม) นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เริ่มคบกัน
หลังจากวันนั้นเราก็คุยกันว่าตอนนี้ใครทำงานอะไรอยู่บ้าง ซึ่งเกรซก็ขายประกันอยู่ ส่วนผมยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เราจึงมานั่งเซตอัพชีวิตกันใหม่ ซึ่งเกรซพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า หากถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังเดิมก็จงตัดสินใจเถอะ มาเริ่มนับเลขศูนย์ไปด้วยกัน พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตัดสินใจเลยว่าถ้ายังมัวยึดติดอยู่กับการแบ่งสินสมรส ชีวิตก็จะก้าวเดินต่อไปไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจย้ายออกมาจากบ้านอดีตภรรยาตั้งแต่นาทีนั้น”
เมื่อออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดิลกเริ่มทำงานขายประกันตามแฟนสาวทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ชีวิตก็คือการเรียนรู้ จากคนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ดิลกพบว่าสิ่งที่ตัวเขาอาจหลงลืมไปก็คือ “การอ่อนน้อมถ่อมตน” แต่เมื่อมาถึงสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยนอาชีพมาขายประกัน ทำให้เขาได้เรียนรู้คำนี้อย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากขึ้น
“เมื่อช่วยเกรซขายประกันไปได้ 5-6 เดือน สัญชาตญาณในตัวผมก็บอกว่า ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่เราอยากจะใช้ชีวิตคู่ด้วย จากที่เคยเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ ผมก็ตัดสินใจซื้อบ้านโดยใช้เงินทั้งหมดที่มีจ่ายค่าดาวน์ไป จนเหลือเงินติดตัวแค่ 27 บาท (ยิ้ม) เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องครอบครัวให้กับเธอ พอเงินหมดทีนี้ก็ต้องเริ่มขายประกันอย่างจริงจังละ แน่นอนว่ามันไม่ง่าย แต่เราก็ต้องสู้ไปด้วยกัน
ที่เกรซตัดสินใจมาอยู่กับผม เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง เพราะเธออยู่กับญาติมาตลอด ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ถึงแม้เราทั้งคู่จะไม่ได้ผ่านพิธีแต่งงานที่สวยหรู แต่เมื่อตกลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้เราก็อยู่ด้วยกันมา 24 ปีแล้ว จนมีลูกชายคือ ‘ยูกิ’ กำลังเรียนแพทย์ และลูกสาว ‘มิกิ’ กำลังเรียนนิเทศศาสตร์”
ดิลก เล่าว่า เขาใช้เวลาขายประกันอยู่นาน 9 ปี (ตั้งแต่ 2535-2544) แม้จะเป็นช่วงที่ยากลำบากขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นอาชีพที่ทำให้เขาหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ เรียกว่าตอนนั้นเขาต้องละทิ้งความมีชื่อเสียงเพื่อไปเดินขายประกันให้กับคนทุกระดับ ทั้งชาวบ้าน พ่อค้า นักธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งก็มีทั้งคนที่ชอบ คนที่ไม่ชอบ ถูกปฏิเสธบ้าง ถูกไล่บ้าง ก็ล้วนแต่เคยเจอมาหมดแล้ว
“ตอนนั้นงานตัวแทนขายประกันทำรายได้ดีนะ แต่ส่วนลึกในจิตวิญญาณของผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่องานแสดงอยู่ดี วันหนึ่งเมื่อเราสามารถสร้างครอบครัวให้พลิกฟื้นจากคนที่ไม่มีอะไรเลยจนสามารถผ่อนบ้านได้หมด มีเงินใช้พอสมควร ผมก็เริ่มรู้สึกว่าอยากจะทำสิ่งที่ตัวเองทำแล้วมีความสุขกับมันบ้าง ทำแล้วไม่เครียด ผมก็เลยเปรยๆ กับเกรซว่า ถ้ามีคนมาชวนให้ไปเล่นละคร ผมจะขอกลับไปเล่นได้ไหม เธอก็บอกว่าตามใจ
เมื่อ ดา หทัยรัตน์ (ผู้จัด) มาเอ่ยปากชวนในปี 2543 ผมจึงได้กลับมาเล่นละครเรื่อง ‘สามี’ โดยรับบทเป็นพ่ออยู่ 2 ตอน พอมีคนรู้ว่าผมกลับมารับงานก็พากันยื่นบทพ่อมาให้เยอะมาก จนเริ่มมีงานเยอะจริงๆ ในปี 2545-2546 จากนั้นผมก็รับงานมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ทุกวันนี้ถ้าถามว่าชีวิตผมประสบความสำเร็จไหม ชีวิตดูมีความสุข มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น ผมก็ขอตอบว่า ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ผมเองก็มีเรื่องลูก เรื่องครอบครัวให้คิด แต่เมื่อผ่านมาถึงจุดนี้ได้ มันก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เราทุกข์น้อยลง ปล่อยวางได้มากขึ้น ซึ่งผมก็รู้สึกพอใจแล้วล่ะครับ”
ดิลกทิ้งข้อคิดไว้ว่า คนทุกคนมีความฝันว่าอยากจะมีคนรักที่ดี อยากจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ อยากเป็นคนร่ำรวย อยากจะมีชีวิตที่ดีกันทั้งนั้น แต่เราก็ต้องถามตัวเองด้วยว่าเรามีคุณสมบัติหรือทำตัวให้สอดคล้องกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ เพราะถ้าทำไม่ได้ สิ่งที่วาดฝันไว้ก็อาจจะไม่สำเร็จ
“ผมว่าเวลาที่คนเรามีความฝัน เรามักจะมองว่ามันเป็นเส้นตรง แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตมันไม่ได้เป็นเส้นตรงแบบนั้น คนที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ส่วนใหญ่ต้องผ่านกราฟชีวิตที่เป็นเส้นโค้งหรือขึ้นๆ ลงๆ มาแล้วทั้งนั้น เราจึงต้องทำในแต่ละวันให้เต็มที่ พูดง่ายๆ ว่าต้องใช้เวลาอยู่กับมัน ทำไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นความแตกต่างได้เอง เพียงแต่เราต้องมีความเพียรพยายามและมีความขยันอยู่ในใจเท่านั้น
ทุกวันนี้ผมก็รู้สึกพอใจในตัวเอง รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร อย่างตอนนี้ผมซื้อบ้านใหม่ราคาแพงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรถแพงไปด้วย เพราะรถเก่าก็ยังใช้ได้ดี จากที่เคยพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ก็งดไปบ้าง เรียกว่าต้องบาลานซ์ชีวิตตัวเองให้ดีในแบบของเรา และรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เท่านี้ก็พอครับ”