posttoday

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

04 ธันวาคม 2559

ไม่มีความบังเอิญใดๆ ที่ส่งผลให้คนหนึ่งคนมีพลังและคิดบวกได้มากพอที่จะส่งต่อให้คนรอบข้างคิดบวก

โดย...กองทรัพย์ ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

ไม่มีความบังเอิญใดๆ ที่ส่งผลให้คนหนึ่งคนมีพลังและคิดบวกได้มากพอที่จะส่งต่อให้คนรอบข้างคิดบวก  เหมือนที่เขาคนนี้ ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ ใครๆ รู้จักเขาในฐานะนักแสดงฝีมือดี หัวหน้าช่างภาพ นิตยสารพลอยแกมเพชร และนักวิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้หลายคนมาแล้ว พลังบวกในตัวเขาล้วนเกิดจากบทเรียนในแต่ละช่วงชีวิต การเรียนรู้ผ่านการสูญเสีย และความคิดที่ว่า “เรื่องร้ายๆ ในชีวิต มีเรื่องอะไรดีๆ ซ่อนอยู่”

ด้วยพลังความรัก

เมื่อ 22 ปีก่อนภาพแรกฉายขึ้น หนุ่มอนาคตไกล มีงานแสดง โลดแล่นในวงการบันเทิง มีครอบครัวที่น่ารัก มีลูกชายตัวเล็กๆ 2 คน ก่อนที่เขาจะรู้ข่าวว่าภรรยากำลังตั้งท้องลูกสาวคนสุดท้อง เขาถูกไฟฟ้าชอร์ตต้องเข้าโรงพยาบาล อาการเรียกว่าสาหัส หมอคนหนึ่งบอกว่าต้องตัดแขน แต่หมออีกคนบอกว่าจะเก็บแขนที่กระดิกนิ้วไม่ได้เลยไว้ให้ เขาหยุดงานร่วมปีเพื่อรักษาตัวและฟื้นฟูตัวเอง

“ตอนแต่งงานกันเราตั้งใจจะมีลูก 5 คน เพราะผมเติบโตมาในครอบครัวที่มีลูก 5 คน แต่ด้วยอุบัติเหตุในชีวิตของครอบครัวเราจึงทำให้มีลูกแค่ 3 คน ลูกชายคนแรกชื่อแทนรัก คนที่สองคือปัญญ์เพชร คนสุดท้องคือเปี่ยมรัก คนสุดท้องตอนนั้นยังไม่มีแผนว่าจะมีลูก เพราะช่วงนั้นไม่มีสตางค์เลยเนื่องจากเราเพิ่งซื้อบ้าน คืนก่อนที่ผมจะเกิดอุบัติเหตุไฟดูด ลูกสาวคนนี้ก็มา เป็นเรื่องแปลก เขามาแล้ว แล้วบังเอิญเป็นผู้หญิงด้วย เราดีใจแต่มันก็เศร้าๆ ช่วงเกิดอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็แย่ แขนก็ไม่คิดว่าจะกลับมาใช้การได้ดีอีก ต้องหยุดการแสดงไปเป็นปี เพื่อดูแลตัวเอง เลยคิดว่ามี 3 คนพอแล้วล่ะ ทุ่มเทรักษาแขน ทำกายภาพ ไม่เลิก ตอนนั้นสภาพผมเหมือนเด็กที่หัดจับของ กล้ามเนื้อใช้การไม่ได้ จนแขนผมใช้งานได้เหมือนเดิม เพราะกายภาพ และผมสู้ มหัศจรรย์มาก”

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

พ่อเลี้ยงเดี่ยวกับเด็กหลงทาง

จากนั้นไม่นานสูญเสียภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบ 20 ปี ไปด้วยโรคมะเร็ง และต่อสู้ด้วยความอดทนนานกว่า 3 ปี ในที่สุดเธอก็จากไปอย่างสงบเมื่อปี 2548 ขณะที่มีอายุเพียง 43 ปี ครอบครัวจากเดิมที่มีอยู่ด้วยกัน 5 คน เมื่อกำลังใจสำคัญของครอบครัวหายไป เขากลายเป็นคุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงดูลูกวัยรุ่น 3 คน ตามลำพัง 

“ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวที่พยายามสอนลูกเมียเรื่องที่ผมคิดว่าถูกต้องมาตลอด ภรรยาผมเป็นแม่บ้านที่ดูแลลูกตลอด 24 ชั่วโมง ตอนที่ภรรยาเริ่มป่วยนอนโรงพยาบาล ผมต้องดูแลลูกๆ แทนเขา เชื่อไหม? แค่การขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันๆ มันมีเรื่องให้ต้องอดทนมาก  บางวันผมทำงานถ่ายรูปมาแล้วทั้งวัน ผมเร่งที่สุดเพื่อที่จะมารับเขาให้ทัน ตุ๊กบอกกับผมอยู่ตลอดเวลาว่า เวลาไปรับลูกอย่าให้ลูกรอ เขาคิดแทนลูกว่าถ้าลงบันไดมาแล้วไม่เห็นหน้าพ่อ-แม่ ลูกจะใจเสีย แต่บางวันผมมาถึงโรงเรียนลูกกลับไปห่วงเล่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้ารับแล้วกลับบ้านเลยผมไม่เดือดร้อน แต่หลังจากไปส่งเขาที่บ้านแล้ว เราต้องออกมาอีกเพราะมีคิวละครจ่อรอเราอยู่ เราก็มีเรื่องทะเลาะกับลูกบ่อยๆ เรื่องเวลา เด็กๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องเข้มงวดเรื่องเวลามากขนาดนั้น ไม่เห็นเหมือนแม่เลย

“พอกลับมานั่งคุยกับภรรยา เขาก็บอกผมว่า ถ้าไม่อยากทำหรือทำให้ลูกแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องทำ คิด มันไม่ได้อยู่ที่เขา มันอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่แฮปปี้เราอย่ามารับเขาดีกว่า ถ้าเราคิดว่าการที่เรามารับเขาแล้วแฮปปี้ เราก็แฮปปี้ และเราต้องทำให้เขาแฮปปี้ด้วย พอวันที่แม่เขาไม่อยู่เราก็คิดแค่ว่าทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด บอกเขาด้วยเหตุผลบนพื้นฐานของความรักที่เรามีต่อเขา

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

“อย่างเช่นวันนี้ไม่มีแม่นะ ลูกรู้มั้ยพ่อต้องทำงานหนักขนาดไหน พ่อต้องตื่นเช้าตีห้า ไปส่งลูกที่โรงเรียน พ่อต้องไปออกกำลังกายที่สวนลุมฯ เสร็จแล้วอาบน้ำอาบท่าไปทำงานถ่ายรูปที่หนังสือพลอยแกมเพชร จากนั้นก็ต้องไปถ่ายละคร บางทีถ่ายละคร 2 เรื่อง ขอเว้นช่วงกลางประมาณห้าโมง เพื่อกลับมารับลูกกลับบ้าน แล้วพ่อถึงจะกลับไปถ่ายละครต่อ หนึ่งถึงสองทุ่ม กว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ตีสี่ บางทีก็ตีห้า แล้วกลับมารับลูกไปโรงเรียน ถามว่าเด็กขนาดนี้จะให้มานั่งเข้าใจว่า โห! พ่อต้องทำงานหนัก ถ้าอย่างนั้นเราต้องทำตัวดีๆ ผมว่าเขานึกได้แค่เป็นช่วงๆ เป็นบางช่วงเวลาที่เขาพอจะทำให้เราได้ แต่หลังจากนั้นพอเขาไปเข้ากลุ่มเพื่อนปุ๊บ เขาก็อาจจะลืม” นักแสดงรุ่นใหญ่ฉายภาพในวันที่เขาทำหน้าที่แทนแม่ของลูกๆ พร้อมกับทำงาน

ในบทบาทพ่อในละคร ทนงศักดิ์ บอกว่า แตกต่างจากสิ่งที่เผชิญอยู่ชนิดที่ว่าคนละขั้ว

“ผมดูแลลูกทุกคนเท่ากัน เพียงแต่ช่วงเวลานี้ต้องดูแลคนนี้มากกว่า ช่วงหนึ่งคนเล็กเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโตเป็นสาว เริ่มต้องการคำปรึกษา เรื่องชุดชั้นใน ผ้าอนามัย หรือเรื่องของผู้หญิงก็ต้องให้คำปรึกษาเขาได้ ส่วนคนกลางค่อนข้างจะอารมณ์แรง ช่วงหนึ่งที่เขาเกเร ขาดสอบ มีเรื่องจนต้องออกจากโรงเรียน ผมส่งเขาไปเรียนที่นิวซีแลนด์อยู่หนึ่งปี เขาขอกลับบ้าน เพราะว่าเริ่มรู้ตัวว่าติดยาเสพติด ตอนนั้นเราในฐานะพ่อเสียใจไหมก็เสียใจ แต่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเติบโต เรามีหน้าที่ประคับประคองและช่วยเหลือเมื่อเขาต้องการก็พอแล้ว

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

“ส่วนคนโตเขาเรียนโอเค แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีปัญหา แต่เราจะคุยกันในเรื่องประเด็นสำคัญๆ สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจในตัวเขาคือ ตอนที่เขาอายุ 19 เขาเดินมาหาผมและบอกว่าอยากวิ่งมาราธอน (42.195 กม.) โดยไม่ได้ซ้อม วันนั้นเขาวิ่งจบด้วยเวลาที่ดี ทำให้ผมคิดว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็สำเร็จ แม้ว่าช่วงหนึ่งเขาจะตัดสินใจดร็อปเรียน ขอไปใช้ชีวิตที่เยอรมนี 4 เดือน แต่ก็กลับมาเรียนจนจบ ไปสอบเป็นนักเรียนการบินของสายการบิน แต่ครั้งแรกยังพลาดหวัง เขากลับมาเพื่อบอกว่าจะเรียนต่อด้านการบินเพราะอยากเป็นนักบิน ตอนนี้เขาเรียนจบแล้วและสอบเป็นนักบินฝนหลวงเพื่อรับใช้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้สำเร็จ” ทนงศักดิ์ เล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความสุข “ประสบการณ์ของผม พ่อคนอื่นอาจจะไม่ใช้วิธีการแบบนี้ แต่ผมใช้ทั้งความรักและเหตุผลควบคู่กัน เพียงแต่ว่าเราต้องเทน้ำหนักไปที่ความรักให้มาก คือเหตุผลเราก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง แต่อย่าใช้อารมณ์ เรามีคำแนะนำให้เขา แต่สุดท้ายคนที่จะเผชิญกับความสุขหรือความทุกข์ก็คือตัวของเขาเอง”

ตกตะกอนด้วยธรรมะและออกวิ่ง

ในวันที่ภรรยาป่วยเป็นมะเร็ง เขาทำทุกอย่าง เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ตอนนั้นบนไว้ว่า หากคู่ชีวิตหายป่วย จะออกวิ่งจากกรุงเทพฯ ไปดอยตุง ระหว่างที่ภรรยานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทนงศักดิ์ก็ไปวิ่งที่สวนลุมพินี

“ตอนอยู่โรงพยาบาล ผมเห็นคนป่วยเยอะมาก บรรยากาศผิดกับสวนลุมฝั่งตรงข้ามที่ทุกคนสดใส แข็งแรง ทำให้ผมอยากรณรงค์เรื่องการออกกำลังกาย ป่วยเป็นมะเร็งอาจช่วยไม่ได้ แต่คนที่เป็นความดัน เบาหวาน หรือโรคที่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทำให้ผมคิดว่าหน้าที่การงานไม่สำคัญเท่าสุขภาพ ถ้าตำแหน่งที่หวังหลุดมือไปบ้าง แต่ถ้าเรายังสุขภาพดี ก็มีโอกาสอีก ก็เลยเริ่มวิ่ง วิ่งเพื่อตอกย้ำว่า การดูแลสุขภาพสำคัญมาก

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

“เมื่อ 11 ปีที่แล้ว พอภรรยาผมเสีย ผมก็ตัดสินใจว่าจะวิ่งไปดอยตุง ต้องซ้อมวิ่ง พอจัดกิจกรรมการวิ่งเพราะผมอยากเล่าเรื่องราว เชื่อมโยงกับทุกคน ผมออกวิ่ง 900 กิโลเมตร เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ 31 วัน ทั้งร้อนและทรมาน กลับมาก็คิดว่า ไม่เอาแล้วทรมาน แต่พออยู่ตัว เริ่มเข้าใจ ก็คิดว่า เวลาเราบอกอะไรลูกเรายังต้องจ้ำจี้จ้ำไช เพราะเรารักเขา แล้วทำไมเราบอกผู้คนแค่ครั้งเดียว (วิ่ง) แล้วเลิกบอก แสดงว่าเราไม่ได้รักเขาจริง ถ้าเราบอกว่าเรารักลูก ให้ลูกแบบไม่มีเงื่อนไข ถ้าเรารักผู้คนเราก็ต้องให้แบบไม่มีเงื่อนไขเหมือนกัน ก็เลยเริ่มวิ่งและเป็นพิธีกรในงานวิ่ง และทำกิจกรรมที่ส่งเสริมให้คนหันมาออกกำลังกายด้วยกัน”

เมื่อเขาออกวิ่งบวกกับเริ่มศึกษาธรรมะ ทั้งสองอย่างคลุกเคล้าเข้ากันและตกผลึกในตัวมันเอง “ผมเคยอยู่วัดมาก่อน ได้เห็นอะไรหลายอย่าง คนไม่มีหรือมีมากก็มาวัด แต่มาด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน ยิ่งแสดงละครก็ยิ่งเห็น ผมเคยแสดงเป็นคนยากจนบ้าง เศรษฐีบ้าง เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจคนอื่น มนุษย์เราตัดสินคนอื่นจากแง่มุมที่เราเป็น ผมมองว่าชีวิตเราเลือกได้ โลกนี้ไม่เคยมีด้านเดียว ในความทุกข์ในความเจ็บป่วยแสนสาหัส หากเลือกมองว่าทุกข์ทั้งหมดนั้นคือปัจจัยที่จะทำให้เราได้เข้าใกล้หนทางไปสู่ดวงตาเห็นธรรม ด้วยการเรียนรู้จากความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทุกข์ก็มีด้านดีแฝงอยู่

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

“ผมบอกลูกเสมอว่าคนเดียวในโลกที่จะทำให้เราเป็นคนดีหรือทำให้เราเป็นคนไม่ดีได้ มีแค่คนเดียวก็คือ ตัวเราเอง ดังนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา พ่อแม่เป็นเหมือนคนแนะนำ คุณจะเดินหรือไม่แล้วแต่คุณ ผมเชื่อว่าที่ผ่านมาผมทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ได้ เพราะว่าผมได้รับความร่วมมือที่ดีจากลูกด้วย เพราะผมทำและผมก็พยายามอยู่แล้ว ลูกเองก็เห็นแล้วลูกก็พยายามด้วย”

เมื่อผ่านเรื่องดีเรื่องร้ายมาร่วมกัน 4 สมาชิกของบ้านศุภทรัพย์ก็กลมเกลียวเหนียวแน่น จนล่าสุดบ้านหลังนี้ก็มีดอกไม้มาเพิ่มความสดชื่นให้บ้านหลังนี้อีกครั้ง

“ผมแต่งงานกับติ๊ก (ชลธิดา ล้ำเลิศยุทธศิลป์) ส่วนหนึ่งเพราะเราอยู่ด้วยกันก็มีความสุข เด็กๆ ก็เห็นด้วยกับความสุขของพ่อ”

ประชาชนของพระราชา

ในฐานะลูกชาย ทนงศักดิ์เป็นคนหนึ่งที่อยากตอบแทนบุพการีอย่างดีที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย “ผมบอกกับลูกว่าในฐานะพ่อเราไม่ต้องการให้เขามาตอบแทนอะไรผม แค่เขาทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม นำสิ่งดีๆ คืนให้กับสังคม บอกด้วยงานที่ผมทำ งานจิตอาสาหลายๆ งานจะมีเด็กๆ ไปด้วยเสมอ วันหนึ่งผมเชื่อว่าถ้าเขาเติบโตขึ้น สิ่งเหล่านี้จะติดตัวเขาไป วันหนึ่งที่เขาระเริงไปกับมายาชั่วครั้งคราว สิ่งที่เราเคยทำร่วมกันจะดึงให้เขากลับมาในร่องรอยที่เคยเป็น” เขาบอกถึงความตั้งใจในฐานะพ่อ เราจึงได้เห็นนักแสดงรุ่นใหญ่ในการเป็นตัวตั้งตัวตีในงานจิตอาสาเพื่อสังคมหลายงาน เขาเชื่อว่าในฐานะพสกนิกรชาวไทย ความจงรักภักดีจากคนตัวเล็กๆ นี้ จะเป็นพลังในการสานต่อพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปตราบนานเท่านาน

ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เรียนรู้จากทุกการสูญเสีย

 

“ผมว่าเราคนไทยทุกคนรักในหลวง รัชกาลที่ 9 เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต เราได้เห็นสิ่งดีๆ มากมายจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ เด็กๆ ได้รู้ว่าที่ผ่านมาพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อให้คนไทยอยู่ดีกินดีหนักแค่ไหน ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริ ทรงพระปรีชาสามารถทั้งศาสตร์และศิลป์ เรียกว่าทุกแขนง ในฐานะนักกีฬา พระองค์ทรงมีน้ำใจนักกีฬา และเก่งหลายอย่างมาก และที่สำคัญทรงเป็นพ่อตัวอย่างให้เราได้ดำเนินรอยตาม ผมไม่เคยรีรอหากได้รับคำชวนให้ไปในโครงการพระราชดำริต่างๆ หรือมีคนชวนทำงานเทิดพระเกียรติ ผมเต็มใจเสมอ”

และล่าสุดกับกิจกรรม #Bogie99_RunForThe๙thChallenge รถไฟสายสุขภาพโบกี้99 ที่เชิญชวนเพื่อนนักวิ่งมาแสดงความจงรักภักดีและแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธ.ค.นี้ ด้วยการแปรอักษรเลข ๙ บนภาพแผนที่ประเทศไทย พร้อมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่สนามศุภชลาศัย “เราเห็นหลายวงการทำกิจกรรมเพื่อแสดงความอาลัยไปแล้ว แต่วงการวิ่งเราเคยทำแค่กิจกรรมเล็กๆ คือวิ่งไปถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคต คราวนี้เราจะจัดในวันที่ 5 ธ.ค. วันคล้ายวันพระราชสมภพ ในวันที่สิ้นรัชกาล”

อย่างไรก็ตาม งานของพี่นงของน้องๆ พ่อนงของลูกๆ ยังคงมีให้เห็นทั้งในจอและนอกจอ ความสุขความทุกข์ทั้งหลายของชายคนนี้ หนแล้วหนเล่าอาจจะไม่มากไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ แต่ที่สุดแล้วเขาก็บอกว่า “เรื่องร้ายๆ ในชีวิต มีเรื่องอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ให้เรียนรู้เสมอ”