posttoday

เรียนรู้จากปฏิวัติวัฒนธรรม

22 พฤษภาคม 2559

50 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นของหายนะทางการเมืองในประเทศจีนเริ่มต้นขึ้น-ปฏิวัติวัฒนธรรม

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

50 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นของหายนะทางการเมืองในประเทศจีนเริ่มต้นขึ้น-ปฏิวัติวัฒนธรรม

ย้อนไปอีกเกือบ 40 ปีก่อนหน้านั้น เหมาเจ๋อตงในวัยหนุ่มสมัยเปิดศึกยึดประเทศจีนกล่าวไว้ว่า “การปฏิวัติไม่ใช่การเลี้ยงดูปูเสื่อ ไม่ใช่การนั่งเขียนบทความ ไม่ใช่การวาดภาพจัดดอกไม้ จะให้สดสวยงาม จะให้สะดวกสบาย จะให้อ่อนโยน จะให้โอนอ่อนผ่อนตามด้วยความแสนดีอบอุ่น เป็นไปไม่ได้ การปฏิวัติคือจลาจล คือการเคลื่อนไหวด้วยความรุนแรงที่ชนชั้นหนึ่งกระทำเพื่อคว่ำอีกชนชั้นหนึ่ง!”

เด็ดขาดและชัดเจน

การปฏิวัติของเหมาเจ๋อตงสำเร็จลุล่วงจน พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ แผ่นดินจีนเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์ในที่สุด เหมาเจ๋อตงคือผู้ที่มีแนวคิดถูกต้อง แต่ยุทธวิธีชักธงรบออกศึกอันยอดเยี่ยม ยากจะใช้ในการปกครองบริหารประเทศ

การบริหารประเทศของเหมาเจ๋อตงล้มเหลว ภัยธรรมชาติซ้ำเติม ผู้คนอดตายนับล้านจากนโยบายการจัดการปลุกระดมสร้างเศรษฐกิจกลวงๆ นำพาเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ของชาวจีนย่อยยับ จนบรรดาสหายใต้บังคับบัญชาเหมาเจ๋อตงจำต้องแยกเขาออกจากอำนาจการบริหาร ทำได้แค่ให้เกียรติวางเขาไว้บนหิ้งให้เป็นไอดอลแห่งพรรคและประเทศ โดยปราศจากอำนาจการบริหารที่แท้จริง

แต่การประเมินความล้มเหลวจากสหายใต้บังคับบัญชานับวันก็มีแต่ชี้มาที่ไอดอลคนนี้ พร้อมทั้งแนวทางแก้ปัญหาปากท้องที่เห็นควรต้องผ่อนคลายอุดมการณ์สุดโต่ง กลายเป็นปมขัดแย้งภายในพรรคที่รอวันแตกหัก

เหมาเจ๋อตง คือ วีรบุรุษแห่งการปฏิวัติ และนี่คือโอกาสแห่งการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้ง ปฏิวัติล้มล้างพวกฉวยโอกาสเบี่ยงเบนอุดมการณ์สังคมนิยม ปฏิวัติล้มล้างวัฒนธรรมคร่ำครึที่ถ่วงความเจริญ-ปฏิวัติวัฒนธรรม

ด้วยการปลุกปั่นยุยงส่งเสริมของสหายกระหายอำนาจข้างกายเหมาเจ๋อตง การปฏิวัติวัฒนธรรม กลายเป็นหน้าที่ของคนทุกคนในชาติ โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวผู้เป็นพลังใหม่ของสังคม-ยุวชนเรดการ์ด (Red Guard)

อำนาจการตัดสินถูกผิดและการลงทัณฑ์ของผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกโยนแจกจ่ายให้กับ “ทุกคน” “ทุกคน” ซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกับเหมาเจ๋อตง “ทุกคน” ที่ยึดถืออุดมการณ์หนึ่งเดียวของชาติ “ทุกคน” ที่บูชาเหมาเจ๋อตง “ทุกคน” ที่ไม่ใช่ทุกคน

เบื้องหน้าเวทีเต็มไปด้วยคำอ้างอุดมการณ์ แต่เบื้องหลังแท่นปราศรัยปลุกระดมคือการแย่งชิงอำนาจ และการขจัดเสี้ยนหนามที่หักหลังเหมาเจ๋อตง

เล่นให้หนักเล่นให้แรง เพราะการปฏิวัติไม่ใช่การเลี้ยงดูปูเสื่อ!

โบราณสถานและทุกสิ่งทุกอย่างที่เชื่อมโยงกับสังคมเก่าถูกรื้อทุบทำลาย พระพุทธรูปถูกเผา เด็กและเยาวชนไม่ต้องร่ำเรียนหนังสือ เยาวชนออกไปทำการรณรงค์เพื่อโลกใหม่ก็เพียงพอ

ยุวชนเรดการ์ดสามารถบุกเข้าบ้านเรือนใครก็ได้ เพื่อกระชากตัวผู้ต้องสงสัยมาประณาม ลงโทษ ซ้อม และทรมานจนถึงขั้นเสียชีวิตโดยไม่มีความผิด

ไม่เว้นแม้แต่นักวิชาการผู้เคยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ นายพลซึ่งเป็นสหายร่วมรบในสงครามสร้างชาติกับเหมาเจ๋อตง หรือแม้แต่ประธานาธิบดีของชาติ-หลิวซ่าวฉี ก็ถูกยุวชนเรดการ์ดจับออกมาแขวนป้ายประจาน ประณาม กักขัง ซ้อม และทรมานจนเสียชีวิตลงในห้องมืดโดยลำพัง ที่ว่ามาข้างต้นคือเป้าหมายที่แท้จริงของการปฏิวัติครั้งนี้

แต่ผลข้างเคียงมีมากกว่านั้นมหาศาล ในวิถีชีวิตของผู้คนซึ่งไม่เคยเกี่ยวข้องกับเวทีการเมือง เพื่อนที่เห็นหน้ากันทุกวี่วัน อาจคอยแอบเก็บหลักฐานและหันกลับมาชี้ความผิดของเราเมื่อไหร่ก็ได้ เหมาเจ๋อตงและยุวชนเรดการ์ดจะให้ค่า ความชื่นชมอย่างสูงส่งกับผู้ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ที่ชี้ได้ว่าใครคือศัตรูของสังคมใหม่

การปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตงไปไกลถึงการสลายโครงสร้างทั้งหมดของสังคม พระสงฆ์ถูกจับสึกป้ายน้ำหมึกประจานสังคมเก่า ครูถูกแขวนป้ายประจาน ราดน้ำร้อน ถ่มถุยโดยหมู่นักเรียนในความผิดที่ว่าสอนเนื้อหารับใช้ชนชั้นศักดินา พี่น้องตัดขาดกัน พ่อแม่พร้อมจะไม่ใช่พ่อแม่ได้ทุกเมื่อหากมีทีท่าว่ามีวิถีชีวิตหรือวิธีคิดต่างจากอุดมการณ์ที่เหมาเจ๋อตงว่าไว้ ลูกที่อยากรักษาตัวรอดถูกบังคับให้ประณามและลงโทษพ่อแม่ของตน

ความกดดันและหวาดระแวงในสังคมโกลาหลแบบนี้ ทำให้มีคนฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก นักคิดนักเขียนชื่อดังไม่น้อยจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย

มิคสัญญีเกิดขึ้นในทุกอณู กินเวลาทั้งสิ้นสิบปี (ค.ศ.1966-1976) จนชีวิตเหมาเจ๋อตงจบลง การปฏิวัติวัฒนธรรมจึงพอจะมีหนทางให้จบตามได้

ไม่ว่าใครก็บอกว่า นี่คือสิบปีที่มืดมน สิบปีที่สูญเปล่า มีแต่ความสูญเสีย สิบปีที่เป็นรอยแผลบาดลึกเข้าไปสู่ทุกคนที่มีส่วนร่วม ทั้งที่เป็นอาชญากรและเหยื่อ สิ่งดีเพียงสิ่งเดียวในการปฏิวัติวัฒนธรรม คือ ทำให้มนุษยชาติรู้ว่าอย่าผิดพลาดซ้ำรอยนี้อีกเป็นอันขาด

แม้มีปัจจัยอื่นร่วมด้วยก็ตาม แต่ความผิดอยู่ที่เหมาเจ๋อตงอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่จะจุดไฟเริ่มต้นหรือดับความบ้าระห่ำระดับนี้ได้คือเขา

แต่อะไรเล่าคือเครื่องยนต์กลไกในการขับเคลื่อนความรุนแรงเข้าสู่ทุกภาคส่วน อะไรเล่าที่ทำให้เชื้อเพลิงมอดไหม้ตลอดสิบปี เหมาเจ๋อตงคนเดียวทำสิ่งนี้ไม่ได้

กลไกที่ว่าคือการสลายกลไกทั้งหมดของสังคม แล้วโยนอำนาจการตัดสินถูกผิดและลงทัณฑ์ให้กับฝูงชนซึ่งถูกปลุกปั่นให้บ้าคลั่งอุดมการณ์

อุดมการณ์ซึ่งความถูกต้องมีหนึ่งเดียว แต่วิธีการลงโทษผู้คิดต่างหลากหลายและรุนแรงไม่จำกัด

สังเวยความสะใจของฝูงชน จนเป็นเหตุการณ์รันทดของมนุษยชาติ และเมื่อความสะใจละลายหายไปในยุคสมัย ก็ทิ้งไว้แต่ตราบาปของอาชญากรและแผลเป็นของเหยื่อความรุนแรง

เหมาเจ๋อตงไม่อยู่แล้ว บุคคลที่มีอิทธิพลที่จะสร้างลัทธิบูชาบุคคลได้ระดับเหมาเจ๋อตงยังมองไม่เห็น แต่ฝูงชนซึ่งเรียกร้องประกาศกร้าวขออำนาจการตัดสินถูกผิด ขออำนาจลงทัณฑ์ยังมีให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จิตวิญญาณเหล่านั้นยังพอสัมผัสได้ทางเสียงระบายความรุนแรงในโซเชียลมีเดีย

ฝูงชนที่ไร้กลไกกำกับยังมีความไม่น่าไว้ใจแฝงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าฝูงชนนั้นจะเห็นสอดคล้องไปกับเรา เพราะเราและฝูงชนเหล่านี้อาจช่วยกันผลักดันให้เรากลายเป็นอาชญากรหมู่มาก

ท่ามกลางฝูงชนที่บ้าคลั่งคิดเห็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด จำต้องมีกลไกบางอย่างที่จะตัดตอนอำนาจการลงทัณฑ์ผู้อื่นออกจากพวกเขา (และหรือพวกเรา) และในจิตวิญญาณรวมหมู่จำต้องมีกลไกที่ทำให้เสียงเห็นต่างเล็กๆ ลุกขึ้นถกเถียงชี้แจงความไม่เป็นธรรมได้โดยไม่โดนทำร้ายและทำลายทิ้ง

เมื่อใดที่กลไกทางสังคมเหล่านี้บกพร่องไป ไม่ว่าโดยจงใจหรือไม่ ทำให้ฝูงชนต่อติดกับอำนาจตัดสินและลงทัณฑ์ ก็จะเหลือแค่ใส่อุดมการณ์แห่งความรุนแรงลงไปเท่านั้น ก็สามารถปลุกเหตุการณ์คล้ายๆ ปฏิวัติวัฒนธรรมย่อมๆ ขึ้นมาได้อีกรอบ ส่วนถ้ามีบุคคลทรงอิทธิพลที่คอยประกาศกร้าวให้ความรุนแรงกลายเป็นความชอบธรรม ความรุนแรงนั้นจะส่งผลใหญ่โตขึ้นไปอีก

เราพึงเรียนรู้ประวัติศาสตร์หน้านี้ไว้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยที่สังคมจีนเคยผิดพลาดอย่างหนักหน่วงมาแล้ว