posttoday

มหิดล (ศาลายา) เรียนรู้สู่มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (ฉบับสมบูรณ์)

03 ธันวาคม 2558

เดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง “มหาวิทยาลัยมหิดล” (ศาลายา) เพราะการเป็น “กรีนแคมปัส” หรือ “มหาวิทยาลัยสีเขียว” นั้นได้บรรลุธงที่ปักไว้แล้ว

โดย...โจนาธาน

เดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง “มหาวิทยาลัยมหิดล” (ศาลายา) เพราะการเป็น “กรีนแคมปัส” หรือ “มหาวิทยาลัยสีเขียว” นั้นได้บรรลุธงที่ปักไว้แล้ว แต่เป้าหมายสูงสุดและกำลังสานต่ออยู่ คือครบองค์ความรู้ด้านรักษ์สิ่งแวดล้อมในฐานะ “มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ” (Eco University)

ภายใต้แนวคิด “มหาวิทยาลัยเมืองในฝัน เมืองน่าอยู่และเสริมสร้างสุขภาวะ” เริ่มดำเนินการเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ประสบความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลสถาบันอุดมศึกษาสีเขียว จากทั้งหมด 301 แห่ง โดยผลสำรวจ UI GreenMetric World University Ranking ประเทศอินโดนีเซีย 2 ปีซ้อน (ปี 2012 อันดับ 36 ของโลก อันดับ 11 ของเอเชีย ปี 2013 อันดับ 31 ของโลก อันดับ 4 ของเอเชีย)

สำหรับประเทศไทย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ลอยลำชนะเลิศและได้กลายเป็นต้นแบบสถาบันอุดมศึกษาที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งแนวคิดและการลงมือปฏิบัติ ที่ผ่านมาสานต่อหลายโครงการเป็นรูปธรรม เช่น เติมเต็มพื้นที่รกร้างว่างเปล่าให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว ปรับภูมิทัศน์ของมหาวิทยาลัยให้แลดูงดงาม ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ

มหิดล (ศาลายา) เรียนรู้สู่มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (ฉบับสมบูรณ์)

 

ประจักษ์พยานที่ดำเนินการสำเร็จ เช่นว่า “สร้างธนาคารขยะ” ลดภาระการจัดการขยะมูลฝอยและปัญหามลพิษจากขยะมูลฝอย “ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ” วิจัยปุ๋ยที่มีกระบวนการย่อยสลายเร็วขึ้นและไม่ส่งผลต่อสภาพอากาศ “เปิดศูนย์จักก้าเซ็นเตอร์” ลดการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายในมหาวิทยาลัย หันมาใช้บริการรถรางแทน

ทั้งหมดล้วนส่งผลให้ที่นี่ถูกกล่าวขานและยกเป็นเบอร์หนึ่งของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และก้าวสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ” อย่างเต็มรูปแบบปีหน้านี้ ล่าสุด “คาร์บอนฟุตพรินต์” (Carbon Footprint) หนึ่งโครงการดีๆ ที่ได้รับการต่อยอด โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ผ่านการลงนามกันเรียบร้อยทั้งสองฝ่าย

“ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร” อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า โครงการนี้เป็นการขยายกรอบความคิดจากกรีนแคมปัสสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ อันมีหัวใจสำคัญคือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ จึงเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อประเมินคาร์บอนก๊าซภายในองค์กรของมหาวิทยาลัย ก่อนจะจัดทําเป็นฐานข้อมูลการใช้ทรัพยากรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก

มหิดล (ศาลายา) เรียนรู้สู่มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (ฉบับสมบูรณ์)

 

“จะเริ่มต้นจากคณะหรือส่วนงานให้เกิดเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ จากนั้นจะขยายสู่วิทยาเขตต่างๆ ทั้ง 6 วิทยาเขต เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ โดยเชื่อมโยงไปยังชุมชนรอบข้างและเครือข่ายความร่วมมือของมหาวิทยาลัย จนเกิดอีโคทาวน์ต่อไป เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด มีการพัฒนาแบบยั่งยืน เป้าที่ตั้งไว้คาดว่าจะลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย 7–10% ภายในปี 2562”

สอดคล้องกับความเห็น “รศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต” รองอธิการบดี ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มองว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่และหลายประเทศมีการคำนวณหาปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ ติดตามตรวจสอบและรายงานผลการปล่อย หรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจกตลอดจนพยายามที่จะหาแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ

มหิดล (ศาลายา) เรียนรู้สู่มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (ฉบับสมบูรณ์)

“คาร์บอนฟุตพรินต์คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมการดำเนินงาน หรือจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วยตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันมีองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและทำการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) นำข้อมูลการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรม ทั้งการผลิตและการบริการภายในองค์กร กำหนดแนวทางการบริหารจัดการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กรตัวเอง

มหาวิทยาลัยจึงจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนปี 2558-2562 โดยใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงาน เพื่อการสร้างความเป็นมหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ถัดมากลยุทธ์การส่งเสริมความเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ สุดท้ายกลยุทธ์การส่งเสริมให้เกิดพันธกิจสัมพันธ์กับชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นและเป็นแบบอย่างให้ชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้”