posttoday

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง

18 ธันวาคม 2557

สังเกตไหมคนสมัยนี้อะไรนิดอะไรหน่อย พอไม่ถูกใจหรือไม่ได้ดังใจก็อารมณ์บ่จอย หงุดหงิด ขุ่นเคือง โกรธกันง่าย บางคนถึงขั้นระเบิดอารมณ์ออกมาเลย

โดย...วรธาร ทัดแก้ว

สังเกตไหมคนสมัยนี้อะไรนิดอะไรหน่อย พอไม่ถูกใจหรือไม่ได้ดังใจก็อารมณ์บ่จอย หงุดหงิด ขุ่นเคือง โกรธกันง่าย บางคนถึงขั้นระเบิดอารมณ์ออกมาเลย ทั้งๆ ที่ผลจากการระเบิดอารมณ์ก็รู้ๆ อยู่ มีแต่เสียกับเสีย... ไม่มีอะไรดี ทั้งเสียชื่อเสียง เสียเงิน เสียหน้าได้รับความอับอาย ถูกประณาม สารพัด

ตัวอย่างมีให้เห็นทุกวัน เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง เช่น กรณีสองสามีภรรยานักท่องเที่ยวจีนสาดน้ำร้อนใส่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินหนึ่ง สาเหตุเพราะไม่ได้นั่งที่เดียวกันและพานหาเรื่องก่อความวุ่นวายเรื่องต่างๆ หรือกรณีลูกสาวของสายการบินชื่อดังเกาหลีซึ่งเป็นรองประธานของการสายบินด้วยไม่พอใจพนักงานต้อนรับเสิร์ฟถั่วโดยไม่แกะใส่จาน ถึงขั้นออกคำสั่งขับไล่พนักงานคนนั้นลงจากเครื่องทั้งๆ ที่เครื่องกำลังแท็กซี่ไปบนรันเวย์เตรียมทะยานขึ้นฟ้า ทำให้กัปตันต้องนำเครื่องกลับไปจอดเทียบอาคารผู้โดยสารใหม่

ผลจากทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ พลอยเดือดร้อนไปหมด สองนักท่องเที่ยวจีนจ่อถูกทางการจีนลงโทษฐานทำให้ประเทศชาติเสียชื่อ ส่วนเคสหลังลูกสาวของสายบินเกาหลีถูกสังคมประณามจนต้องลาออกจากตำแหน่ง

แต่ที่ช็อกสายตาคนไทยอย่างมากคงต้องยกให้คลิปหลวงพี่ (วัดไหนไม่ทราบ) ทำหัตถประหารฟาดไปที่บริเวณหน้าและศีรษะของฝรั่งคนหนึ่งสองสามทีจนหน้าหัน ซึ่งฝรั่งคนนั้นทราบชื่อภายหลังคือ “เจฟ” เป็นครูสอนภาษาในประเทศไทย ซึ่งจากเหตุการณ์นี้จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้บุรุษผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ต้องแสดงพฤติกรรมผิดวิสัยสมณะที่ควรจะสำรวมกาย วาจาให้น่าเคารพต้อง “นอตหลุด” จากพระเป็นนักเลง กลับกันเจฟกลับมี “ใจเป็นพระ” ยืดอกบอกว่า “ไม่เป็นไร ฉันรักเมืองไทย ฉันไม่ติดใจเอาเรื่อง” แต่บอกได้เลยว่า คนสมัยนี้โกรธกันง่ายเหลือเกิน

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง

สองปัจจัยทำไมคนสมัยนี้ฉุนง่าย

นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการและจิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำคนยุคนี้ขี้หงุดหงิด โกรธง่าย เจ้าอารมณ์มาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและภายใน ภายนอกมาจากสภาพแวดล้อมและความกดดันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน จากปัญหาเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การระบาดของยาเสพติดทำให้คนเครียดมากขึ้น สถาบันครอบครัวอ่อนแอลง พ่อแม่ลูกไม่มีเวลาให้กัน ผิดกับสมัยก่อนเวลากินข้าวก็พร้อมหน้า ขณะที่สถาบันทางศาสนาก็มีบทบาทน้อยลง ระบบการศึกษาก็เน้นกิจกรรมวิชาการและการประเมินผลมากกว่ากิจกรรมทางด้านจิตใจ ทำให้ครูและนักเรียนไม่ค่อยมีความผูกพันกันเหมือนสมัยก่อน

“สิ่งสำคัญพัฒนาการของสังคมไทยเน้นวัตถุนิยมมากเกินไป ทำให้ระดับการแข่งขันของคนแต่ละช่วงวัยสูงขึ้นไปตาม จะเห็นว่าพ่อแม่จะเร่งลูกตั้งแต่เล็กๆ เข้า ป.1 ก็ให้กวดวิชา ยิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยยิ่งแข่งขันหนัก ทำงานก็แข่งกันไม่หยุด ทุกคนพยายามไขว่คว้าให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ นี่คือปัจจัยภายนอก ขณะที่ปัจจัยจากภายในจะเห็นว่าพัฒนาการทางจิตใจหรือความแข็งแรงของจิตใจของคนสมัยนี้ลดลงเยอะ เมื่อก่อนความกดดันไม่โหลดน้ำหนักขนาดนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็โยงมาที่การแข่งขันกันทางวัตถุ พ่อแม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินเลยมีเวลาให้น้อย ไม่มีเวลาสอนหรือให้กำลังใจลูก ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวลดน้อยลงไปด้วย”

นอกจากนี้ เรื่องของเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่ามีผลต่อพัฒนาการทางด้านจิตใจอย่างมาก จะสังเกตเห็นว่าคนยุคดิจิทัลมีความอดทนรอคอยน้อยลง และมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเองน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับสมัยปู่ย่าตายายหรือสมัยพ่อแม่

“สมัยก่อนการบันเทิงจะได้ชมกันก็ต้องรองานวัด ดูหนังกลางแปลง หรือทีวีเครื่องหนึ่งดูกันสามบ้านสี่บ้าน แต่ยุคนี้ความบันเทิงมี 24 ชั่วโมง แทบไม่ต้องรออะไร บ้านหลังหนึ่งมีทีวี 4-5 เครื่องรีโมทพร้อม เมื่อก่อนไม่มี ถ้าเปลี่ยนช่องต้องเดินไปกดหรือหมุนปุ่มที่เครื่อง สมัยนี้ถ้าวันไหนรีโมทหายหรือเสียใช้ไม่ได้ก็จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นี่คือผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้คนเรามีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเองได้น้อยลง และมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดความไม่พอใจ หงุดหงิด ผิดหวัง นอกจากนี้คนสมัยนี้ยังขาดทักษะทางอารมณ์คือความสามารถในการรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยมี เช่น พอโกรธก็รู้ตัวว่าฉันกำลังจะโกรธแล้วควรทำยังไงจะไม่เกิดเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้พอทนไม่ได้ก็เปรี้ยงออกมา ไม่มีสติในการกำหนดรู้”

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง

สังคมจิ้มๆ กดๆ ยิ่งกระตุ้นให้ใจร้อน

พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมให้คนเดี๋ยวนี้หงุดหงิดง่ายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย ไม่รู้จักเบรกอารมณ์ พอโกรธขึ้นมาก็ห้ามไม่อยู่เป็นเรื่องได้ตลอดนั้น เห็นได้ชัดที่สุดตอนนี้คือจากการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ไอโฟน ไอแพด คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์
สมาร์ทโฟนในแต่ละวันมากจนเกินไปและเกินจำเป็นจนสมองต้องทำงานหนักไม่มีเวลาได้พัก

“คนเดี๋ยวนี้ทุกอย่างต้องใช้เทคโนโลยีหมดเลย ทำให้คนใจร้อนขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า รู้ไหมว่าจิตของมนุษย์เรานั้นปกติมีความเร็วสูงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก ไอพ่นหรืออะไรที่ว่าเร็วที่สุดก็ไม่เท่าเศษเสี้ยวความเร็วของจิตมนุษย์ แต่ก่อนคนเราใจเย็นกันได้เพราะยังไม่มีอุปกรณ์พวกนี้เข้ามา แต่พอเทคโนโลยีผลิตความเร็วขึ้นมาก็เป็นเรื่องอย่างที่เห็น และมีหรือที่จิตของเราจะช้าลง ขนาดเร็วแค่ไหนยังบอกว่าช้า เช่น นั่งเครื่องบินที่ว่าเร็วแล้ว แต่พอเครื่องดีเลย์ชั่วโมงสองชั่วโมงอารมณ์เสียทันที นี่ไงเทคโนโลยีมันกระตุ้นใจเราให้ร้อนอย่างนี้”

พระราชญาณกวี กล่าวต่อว่า ทางที่ดีมนุษย์ต้องกลับไปสู่หลัก 5 อย่าง คือ ธรรมชาติ ดนตรี กีฬา ปรัชญา ศิลปะ ทิ้งเทคโนโลยีออกไปบ้าง เช่น เสาร์-อาทิตย์ วันหยุดไม่ควรอยู่กับเทคโนโลยีพวกนี้ ควรจะไปอยู่กับธรรมชาติ ดนตรี กีฬา ปรัชญา ศิลปะ เหมือนกับต่างประเทศหลายประเทศที่อาตมาไปเห็นมา เสาร์-อาทิตย์รถจะจอดนิ่ง ห้างสรรพสินค้าปิด เปิดแต่มิวเซียมและโบสถ์ ผู้คนก็จะพาลูกหลานชมธรรมชาติ ศิลปะ อะไรต่างๆ เพราะถือว่าจันทร์ถึงศุกร์ใช้อยู่แล้ว เสาร์-อาทิตย์เป็นวันปลอดเทคโนโลยีแล้วหันมาใช้เทคโนโลยีทางจิตแทน

“วันเสาร์-อาทิตย์ต้องเป็นวันหยุดจริงๆ ให้ทิ้งเทคโนโลยีไปก่อน เอาไว้แค่มีธุระจำเป็น ทุกคนควรได้พักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ ดนตรี กีฬา ศิลปะ ปรัชญา ซึ่งปรัชญาก็คือการหาความรู้ง่ายๆ จากสิ่งต่างๆ เช่น เห็นใบไม้หล่นร่วงลงมานั่งคิดให้ดีเราก็จะได้ความรู้จากมัน หรือในกอไผ่ ในน้ำ หรือใบหญ้าล้วนมีปรัชญาหมด พวกนี้พ่อแม่ต้องสอนลูก ต้องมีเวลาให้เขา ไม่ใช่ให้เขาถือเกมกด เล่นสมาร์ทโฟน ไอแพด พ่อแม่ต้องโยนพวกนี้ทิ้งเป็นตัวอย่างให้ลูกในวันเสาร์-อาทิตย์ อันนั้นแหละจะทำให้เด็กมีความคิดยับยั้งชั่งใจ มีเบรก เหมือนรถเราก็ต้องมีสติ เทคโนโลยีต้องรู้จักใช้และใช้เท่าที่จำเป็น”

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง

ฝึกรับมือความโกรธ

บ่อยครั้งเมื่อคนเราอารมณ์เสียและโกรธมักไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ตามมา เช่น เมื่อถูกขับรถปาดหน้า หรือถูก
แซงคิว คนที่ถูกกระทำมักจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อาจจะไปต่อว่าคนทำ ส่วนคนทำแทนที่จะขอโทษก็เถียง สุดท้ายไม่มีใครยอมก็เกิดการทะเลาะทำร้ายร่างกายกันขึ้น เพราะฉะนั้นคนเราควรจะมีวิธีในการควบคุมอารมณ์เมื่อโกรธใครสักคนขึ้นมา

นพ.ไกรสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องของอารมณ์จิตใจนั้นสัมพันธ์กับทางกาย การที่จะดูแลอารมณ์ให้ดีได้ขึ้นกับพื้นฐานทางกายด้วย คือกายต้องกินอิ่มนอนหลับ ถ้าหิวกินไม่อิ่มนอนไม่พอก็จะหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ทำงานก็ต้องพักผ่อนหย่อนใจ เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร ขนาดม้าที่เดินทางไกลยังพักให้น้ำ ซึ่งจิตใจของเราจะทำงานผ่านสมอง เมื่อสมองเคร่งเครียดควรต้องเบรกไม่อย่างนั้นความเครียดจะสูงขึ้น นอกจากนี้ควรหาเวลาไปทำอย่างอื่นที่สบายใจ เช่น ฟังเพลง เล่นโยคะ อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ นั่งสมาธิ หากโกรธใครในขณะนั้นอาจใช้วิธีนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้จิตได้ผ่อนคลาย ณ เวลานั้นอาจมีทางออกที่ดี

“อย่างน้อยในแต่และวันต้องมีกิจกรรมผ่อนคลายสัก 10 นาที 15 นาที เป็นการทำความสะอาดจิตใจและผ่อนคลายความเครียดออกไป เพิ่มพลังจิตใจให้ตัวเอง พร้อมที่จะไปปฏิบัติงานต่อ อีกอย่างควรพัฒนาทักษะทางด้านอารมณ์ด้วยการมองชีวิตในแง่บวกซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามองแง่บวกไม่ได้ไม่ว่าจะกับตนเองหรือกับผู้อื่นก็จะทำให้ไม่เกิดพลัง ไม่มีกำลังใจ อาจท้อแท้ผิดหวังหรือโกรธเสียใจได้ง่าย แต่ถ้าสามารถมองชีวิตในแง่บวกได้มากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนคนนั้นจะเป็นคนที่โกรธยากขึ้นและให้อภัยได้ง่ายขึ้นผิดกับคนที่เห็นแก่ตัว”

จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ เตือนว่า และเมื่อคนเราโกรธหงุดหงิดบ่อยๆ ก็จะเกิดผลเสียกับคนโกรธทั้งทางร่างกายและจิตใจ ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายผู้นั้นมีจุดอ่อนตรงไหนก็จะไปออกอาการตรงนั้น บางคนปวดหัว นอนไม่หลับ หายใจไม่อิ่ม เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปวดหัว ปวดคอ ยิ่งทำให้หงุดหงิดง่าย คนที่มีความเครียดสะสมอยู่นานๆ ระบบร่างกายถูกกระทบภูมิต้านทานลดลง โอกาสเจ็บป่วยก็เป็นง่าย รวมถึงอาจมีความเกี่ยวพันกับโรคมะเร็งด้วย

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง

 

ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดังและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้แชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่า จากที่ทำงานให้กับมูลนิธิ ได้เจอคนที่เห็นแก่ตัวมากมาย เช่น ขับรถแซงคนอื่นแล้วแซงไม่พ้นสุดท้ายก็มีเรื่องกัน บางคนขับไปถึงทางม้าลายแทนที่จะชะลอให้คนข้ามไปก่อน กลับไปด่าคนข้ามว่าไม่ดูรถ หรือบางทีคนอื่นเข้าแถวต่อคิวอีกคนมาจากไหนไม่รู้แซงคิวเฉยเลยก็มี หลายครั้งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็ผ่านไปได้ดีเพราะไม่อยากมีเรื่อง โกรธกันก็ไม่มีประโยชน์ บางครั้งถึงจะโกรธแต่ก็ไม่เคยแสดงอาการออกมา  

“เมื่อก่อนยอมรับว่าผมอารมณ์ร้อนและอารมณ์เสียบ่อยมาก อะไรนิดหน่อยไม่ได้ไม่ยอมเลย เช่นครั้งหนึ่ง มีคนขับรถเปิดไฟสูงแซงแต่แซงไม่พ้นแล้วกะพริบไฟให้เราหลบ แหม...โกรธเลยนะ เปิดกระจกโยนขวดลิโพใส่กระจกรถเลย อารมณ์สมัยก่อนอย่างนี้ แต่พอมาช่วยงานมูลนิธิเห็นคนถูกกระทำ ถูกเอาเปรียบ รู้สึกเห็นใจและเข้าใจหัวอก เริ่มรู้จักการให้อภัย หักห้ามอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่โกรธ บางครั้งโกรธนะ แต่จะรู้ตัว พยายามเก็บอารมณ์นิ่ง ไม่แสดงออกมา หรือถ้าโกรธมากไปหาโน้นนี่ทำซะจบไป ตอนนี้ถ้าใครจะแซงก็ให้แซงไป”

อย่างไรก็ดี พระเอกตลอดกาลทิ้งท้ายว่า คนไทยทุกวันนี้หงุดหงิดง่าย พอโกรธขึ้นมาก็เกิดเรื่องร้ายตลอด ซึ่งไม่ใช่แค่ชาวบ้านพระสงฆ์ก็เป็นด้วย บิณฑบาตตัดหน้ากันก็วางบาตรตีกัน บางทีทะเลาะกับฆราวาส อย่างคลิปที่พระตบฝรั่งเห็นแล้วต้องบอกว่าคนไทยเปลี่ยนไปเยอะ เมื่อก่อนมีน้ำใจ แต่ทุกวันนี้เห็นแก่ตัวกันมาก หุนหันพลันแล่น เอะอะอะไรก็โกรธ เมื่อโกรธแล้วก็ไม่พยายามที่จะระงับกลับปล่อยให้มันระเบิดออกมา ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมไทยคงยิ้มไม่ออก

คนยุคดิจิทัล รมณ์เสียง่ายจัง