posttoday

อริยสัจทูเดย์

31 ธันวาคม 2556

วิสาขบูชาปีนี้ต่างจากวิสาขบูชาของทุกปี เพราะว่าปีนี้พระพุทธศาสนายุกาลเจริญมาครบ 2,600 ปี

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

วิสาขบูชาปีนี้ต่างจากวิสาขบูชาของทุกปี เพราะว่าปีนี้พระพุทธศาสนายุกาลเจริญมาครบ 2,600 ปี เราเรียกวิสาขบูชาปีนี้ว่า พุทธชยันตี พุทธชยันตีก็แปลว่าชัยชนะของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงชนะกิเลสใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เผยแผ่พระพุทธศาสนา นับวันเวลาที่ทรงพระชนม์อยู่จากวันที่ตรัสรู้จนถึงปรินิพพาน 45 ปี หลังปรินิพพานนับมาอีก 2,555 รวมกันเป็น 2,600 ปี ดังนั้นในวันนี้เราจึงมาอยู่ในบรรยากาศของพุทธศาสนายุกาลครบ 2,600 ปี ในวันเวลาที่สำคัญขนาดนี้ เราก็ควรจะได้ฟังธรรมะที่สำคัญ

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร

ในการแสดงธรรมครั้งแรกพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระธรรมเทศนากัณฑ์แรกต้องสำคัญที่สุด แต่จะมีคนไทยกี่คนหรือชาวพุทธกี่คนที่รู้ว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตรสำคัญอย่างไร ทุกวันนี้เราสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เนื้อหาสาระของพระสูตรกัณฑ์นี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่เรานำมาสวด นำมาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความขลัง

ในงานสืบชะตาพระมักจะต้องเจริญหรือสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร ญาติโยมคนไหนได้ยินหรือได้ฟังธัมมจักกัปปวัตนสูตรแล้วก็รู้สึกว่าจะอายุยืน เราได้ประโยชน์จากธัมมจักกัปปวัตนสูตรแค่นั้นเอง คือ สวดให้ขลัง สวดให้ขรึม เป็นการปฏิบัติต่อธัมมจักกัปปวัตนสูตรไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราสวดได้แต่เราไม่เข้าใจเนื้อหาก็แค่นั้น ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร สวดสะเดาะเคราะห์ สวดปัดรังควาญ สวดกันผีห่าซาตาน นั่นแสดงว่าเรายังเข้าไม่ถึงแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า

แท้ที่จริง ธัมมจักกัปปวัตนสูตรซึ่งเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกนั้น ได้รวมเอาหัวใจของพระพุทธศาสนาเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะในพระสูตรกัณฑ์นี้ทรงแสดงถึง อริยสัจ 4 อริยสัจ 4 คือหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้ว่า แต่ก่อนก็ดี บัดนี้ก็ดี เราสอนอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ คือ สอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ทุกข์และการดับทุกข์ก็คือ อริยสัจ 4

มีอยู่วันหนึ่งขณะเสด็จไปยังป่าประดู่ลาย วันนั้นพระสงฆ์หลายร้อยรูปชุมชุมกันอยู่ตรงนั้น พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปยังกลางป่าประดู่ลาย แล้วทรงก้มลงเก็บเอาใบประดู่ลายขึ้นมา 1 กำพระหัตถ์ จากนั้นทรงถามภิกษุสงฆ์ว่า “ภิกษุทั้งหลายใบประดู่ลายที่อยู่ในมือเรา กับที่อยู่บนต้นอย่างไหนจะมากกว่ากัน” ภิกษุทั้งนั้นก็กราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่ในกำพระหัตถ์ของพระองค์มีน้อย ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นมีมากกว่าพระพุทธเจ้าค่ะ

พระพุทธองค์จึงตรัสสรุปว่า ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมที่เราได้ตรัสรู้ มีมากเป็นอเนกประการ แต่ที่เรานำมาสอนจริงๆ มีเล็กๆ น้อยๆ เป็นดังหนึ่งใบไม้ในกำมือเท่านั้น คำถามก็คือ อะไรล่ะคือใบไม้ในกำมือ คำตอบก็คือ อริยสัจ 4 ทุกข์และการดับทุกข์ พระองค์สอนแค่นี้ สอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์

อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ถามว่าทำไมจึงประเสริฐล่ะ และต่างจากความจริงอย่างอื่นอย่างไร คำตอบก็คือ โลกนี้มีความจริงมากมายเหลือเกิน แต่ความจริงอย่างอื่นเมื่อใครมารู้เข้า ไม่สามารถดับทุกข์ดับโศก หรือดับกิเลสได้

ท่านอาจารย์โกเอนก้า วิปัสสนาจารย์ชื่อดังคนหนึ่งของโลก ท่านได้เขียนไว้ว่า อริยสัจ คือ 4 สัจจะอันประเสริฐ หรือความจริงอันประเสริฐ ต่างจากสัจจะทั่วไปโดยการเล่าเรื่องหนึ่ง ท่านเล่าเอาไว้ว่า

มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ธรรมดา นักวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์คนนี้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องปฏิสสาร ศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจนกระทั่งได้ค้นพบสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า แท้ที่จริงทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเลยที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในลักษณะสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สรรพสิ่ง ปฏิสสารบรรดามีทั้งหมดล้วนเป็นอนัตตา เขาค้นพบความจริงข้อนี้แล้วเขาตื่นเต้นมาก นี่คือความจริงพื้นฐานของวัตถุ และสรรพสิ่ง

พวกเรารู้ไหมนักวิทยาศาสตร์ค้นพบสัจธรรมข้อนี้จากห้องวิจัยหรือห้องแล็บ แต่เขาดับทุกข์ไม่ได้ ชีวิตจริงของนักวิทยาศาสตร์คนนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ตรมขมไหม้ ทั้งๆ ที่เขาค้นพบสิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แต่เขาค้นพบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ขณะที่พระพุทธองค์ของเรานั้นทรงค้นพบด้วยเครื่องมือทางจิตศาสตร์คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

พระพุทธองค์ของเราทรงค้นพบสัจธรรมของโลกว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นอนัตตา ใดใดในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นี่คืออนิจจัง ใดใดในโลกล้วนไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดเวลา นี่คือทุกขัง และใดใดในโลกล้วนไม่มีกลุ่มก้อนสมบูรณ์เป็นของตัวเอง หากแต่ประกอบกันขึ้นจากองค์ประกอบมากมายนับไม่ถ้วน นี่คืออนัตตา พอพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว บรรลุธรรม กิเลสบรรดามีทั้งหมดเหือดหายไปจากพระทัยของพระองค์

ครูบาอาจารย์ท่านแต่ก่อนทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งทุกวันนี้ที่เป็นวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย ท่านค้นพบสิ่งเดียวกันกับที่นักวิทยาศาสตร์คนนั้นค้นพบ แต่พอค้นพบแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านเหล่านั้นบรรลุธรรม ดับทุกข์ดับโศกได้ จิตถูกฟอกจนขาวสะอาด ครูบาอาจารย์ในยุคสมัยของเราหลายรูป หลายองค์เมื่อล่วงลับดับขันธ์ไป กระดูกซึ่งถูกฟอกด้วยวิปัสสนากรรมฐานจนไม่เหลือกิเลสเลย กลายเป็นพระธาตุ กลายเป็นแก้วผลึก พิสูจน์กันให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่า การตื่นรู้ในสัจธรรมความจริงนั้น ไม่เพียงแต่ฟอกจิตให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นเท่านั้น แต่ฟอกแม้กระทั่งธาตุขันธ์คือกระดูกก็ยังตกผลึกกลายเป็นแก้ว

ฉะนั้นการค้นพบความจริงพื้นฐาน คือ ค้นพบว่าสรรพสิ่งล้วนไม่อยู่ในความนิ่ง แต่สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สรรพสิ่งไหลเลื่อนเคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างนี้ ถ้าใครค้นพบด้วยจิต ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยสมาธิภาวนา เขาสามารถจะมีชีวิตที่เป็นอิสระจากความทุกข์ได้ แต่ถ้าไปค้นพบในห้องแล็บ ค้นพบความจริงเดียวกันแต่ดับทุกข์ดับโศกไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่อริยสัจต่างจากสัจจะทั่วๆ ไป

กล่าวคือ สัจจะทั่วไปนั้น รู้แล้วดับทุกข์ไม่ได้ แต่อริยสัจ ใครมารู้เข้าดับทุกข์ดับโศกได้ในชีวิตนี้จริงๆ ฉะนั้นท่านจริงแปลอริยสัจ ว่า ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงอันเที่ยงแท้ ไม่ผันแปรเป็นอื่น หรือความจริงของพระอริยเจ้า หรือความจริงที่ทำให้เป็นพระอริยบุคคล พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยสัจในครั้งที่ทรงแสดงปฐมเทศนา เมื่อทรงแสดงธรรมจบปั๊บก็มีผู้บรรลุธรรมเป็นพระรูปแรก คือ พระอัญญาโกณทัญญะ

ฉะนั้นเราก็น่าจะมาทบทวนกันดูว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้อริยสัจ ชาวพุทธก็รู้จักอริยสัจ แต่ทำไมเราดับทุกข์ไม่ได้ อริยสัจ 4 มีอะไรรู้หมด แต่ทำไมเราดับทุกข์ไม่ได้