posttoday

คู่ชีวิต คู่ธุรกิจ

30 พฤศจิกายน 2556

“หน้าที่ของผม ไม่มีอะไรมากครับ มีหน้าที่ทำให้ภรรยามีความสุข ทำฝันของภรรยาให้เป็นจริง”

โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

“หน้าที่ของผม ไม่มีอะไรมากครับ มีหน้าที่ทำให้ภรรยามีความสุข ทำฝันของภรรยาให้เป็นจริง”

“พี่กานต์ เป็นคนดี คู่ชีวิตที่ดี เป็นไอดอลของฝนในการนำธรรมะมาใช้ดำเนินชีวิต”

การทำงานในสิ่งที่รัก ใช้ชีวิตด้วยความสุข ทำให้การมีชีวิตคู่ยิ่งมีพลังความสุขมากขึ้นอีกทวีคูณ กับสามี ภรรยา คู่นี้ ที่ร่วมทำธุรกิจในชื่อ บริษัท มีฟาร์มสุข (ไม่) จำกัด โดยทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายข้าวหอมปลอดสารพิษในชื่อ “ข้าวหอมคุณยาย”

“กานต์ ไตรทอง” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเกษตร บริษัท มีฟาร์มสุข (ไม่) จำกัด ในวัย 40 ปี ได้พลิกผันชีวิตจากการทำงานด้านการเงินในบริษัทต่างชาติที่ประเทศสิงคโปร์ เงินเดือนสูงละลิ่ว ขอยุติชีวิตพนักงานบริษัท มาทำนา ปลูกข้าวเลี้ยงครอบครัว โดยมีภรรยา “นิศารัตน์ นาครักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีฟาร์มสุข (ไม่) จำกัด ที่ทำงานในบริษัทเอกชนแห่งเดียวกัน ตัดสินใจลาออกจากบริษัทกลับมาใช้ชีวิตเมืองไทยเหมือนกัน เพราะอยากเป็นเกษตรกร จะได้จัดสรรวันหยุดได้เอง มีเวลาท่องเที่ยว ซึ่งมีความเหมาะกับชีวิตของทั้งคู่ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเดินทางเหมือนกัน

“กานต์” พูดถึงการตัดสินใจลาออกจากบริษัทว่า เมื่อทำงานไปแล้วถึงจุดที่คิดว่า เงินและความสุขจากการทำงาน จะเลือกอะไรให้กับชีวิต และเมื่อตัดสินใจได้ ขอเลือกความสุข และได้ปรึกษากับภรรยา “นิศารัตน์” หรือ “ฝน” มีความเห็นตรงกัน การเลือกทำนาดีที่สุด เพราะหากเกิดปัญหาเจ๊งหรือล้มละลาย สิ่งที่เราเหลืออยู่คือที่ดินและมีข้าวที่เราเก็บไว้กินได้ไม่อดตาย และการใช้ชีวิตคู่หรือหารือธุรกิจผมก็พูดคุยและคุยกับฝน ปรึกษากันได้ในทุกเรื่อง

คู่ชีวิต คู่ธุรกิจ

 

“ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสวนกุหลาบ ก็ตัดสินใจไปบวช เพราะอยากรู้ธรรมะเป็นอย่างไร ทำไมเราจึงเห็นพระที่บวชตั้งแต่เด็กและไม่เคยสึกตลอดชีวิต ก่อนไปบวชที่บ้านก็คัดค้าน แต่เมื่อผมไปบวชแล้วก็สนับสนุน ผมบวชนาน 4 ปี จนถึงจุดหนึ่งว่าจะใช้ชีวิตในทางธรรมต่อไปหรือกลับมาใช้ชีวิตทางโลก ก็เลยตัดสินใจสึกออกมาเรียน ทำหน้าที่ของลูก และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เจอฝน และผมอายุมากกว่าฝน 5 ปี”

“กานต์” เล่าว่า คุณฝนได้ลาออกจากบริษัทเมื่อปี 2553 หรือก่อนเขา 1 ปี เพื่อมาทำนา เพราะหากเกิดปัญหาอะไรอีกคนจะได้ช่วยเต็มที่ ส่วนตัวเขาเองก็บินกลับไทยทุกสัปดาห์ เมื่อทำมาหนึ่งปี ในปี 2554 ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะข้าวกล้องคุณภาพดี นิ่ม ลูกค้ารับประทานแล้วชื่นชอบมาก เขาจึงตัดสินใจลาออกมาทำนาและช่วยคุณฝนสร้างธุรกิจข้าวด้วยกัน และเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มที่ มุ่งทำตลาดสร้างแบรนด์ “ข้าวหอมคุณยาย”

“สิ่งที่ประทับใจจากฝน คือ ตั้งแต่เริ่มเป็นแฟนกัน ฝนก็พัฒนาตัวเองมาจนถึงวันนี้ พัฒนาความรู้สึก อารมณ์ การควบคุมจิตใจ และตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันและรู้สึกชื่นชอบคือ รอยยิ้ม เป็นผู้หญิงที่ยิ้มสวย มีเสน่ห์ เมื่อมาทำนาด้วยกัน จนกระทั่งมาเปิดบริษัททำธุรกิจด้วยกัน ไม่เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งเลยสักครั้ง เพราะเรายึดหลักธรรมะในทุกด้านของชีวิต ทั้งการใช้ชีวิตคู่ที่ยึดศีล 5 การทำธุรกิจด้วยหลักธรรมะ และใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้การอยู่ด้วยกันและใช้ชีวิตคู่มีความสุข”

ส่วน “ฝน” เล่าถึงการลาออกและเลือกมาทำนาว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากที่บ้านอยู่ใน จ.สมุทรปราการ ที่เดิมเป็นที่นามาก่อนจึงอยากทำนา และคุณยายก็ชอบให้ขับรถไปดูนา ความรู้สึกจึงผูกพันกับการทำนาอยู่แล้ว

เมื่อรู้จักกับคุณกานต์ ตั้งแต่เรียนคณะบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ก็ชื่นชอบในนิสัยและความใจเย็น แถมเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกโดดเด่นมาก เพราะสมัยเรียนไว้ผมยาว แต่เป็นคนที่เรียนเก่งมาก เวลาอยู่ในห้องเรียนดูไม่สนใจ แอบหลับในห้องเรียน แต่เมื่อผลสอบออกมาได้คะแนนเกือบเต็มทุกวิชา และบางวิชาคะแนนเต็มด้วย ถึงกับแอบสงสัยทำไมตัวเองตั้งใจเรียนขนาดนี้ แต่คุณกานต์จึงได้คะแนนมากกว่า

ความประทับใจทั้งหมดประกอบกันและเมื่อคุณกานต์เข้ามาจีบ จึงตัดสินใจเลือกเป็นแฟน ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 และคบกันเรื่อยมา ได้มาทำงานบริษัทเดียวกัน ตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในปี 2549 ก่อนมาเลือกอาชีพทำนา เพราะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ทั้งสองคน สามารถเลือกวันหยุดที่ตรงกัน และได้ไปเดินทางท่องเที่ยวที่ชอบเหมือนกันได้

เมื่อคิดจะทำนาก็ไปเรียนรู้วิธีทำนาพร้อมกันและลงมือทำนา โดยเรียนรู้จากอาจารย์ที่มาสอน หาความรู้จากอินเทอร์เน็ต เลือกทำนาโดยการซื้อที่ดินใน จ.สระบุรี ระยะแรก 12 ไร่ จนทำไปแล้ว 1 ปี ได้ผลผลิตข้าวออกมาและนำไปขาย ประสบปัญหาถูกโรงสีกดราคาขาย จึงมีแนวคิดอยากทำข้าวขายเองทั้งหมด จนกระทั่งตัดสินใจผลิตและขายข้าวเองในชื่อแบรนด์ “ข้าวหอมคุณยาย” ตามชื่อของคุณยาย

“ฝน” เล่าว่า สิ่งสำคัญที่คุณกานต์บอกให้เธอทำก่อนเริ่มต้นธุรกิจด้วยกัน คือ ขอให้ไปนั่งปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์นานาชาติ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 9 วัน เพื่อฝึกตัวเองก่อนเริ่มทำธุรกิจ และอยากให้เตรียมตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต เพราะการทำนาเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิงจากการเป็นพนักงานบริษัท ต้องฝึกจิตใจให้พร้อมรับมือกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเมื่อไปปฏิบัติแล้วถือว่าธรรมะมีส่วนช่วยชีวิตและการทำธุรกิจอย่างมหาศาล

“หลักธรรมเป็นสิ่งที่ฝนได้รับจากพี่กานต์ คอยแนะนำให้ใช้หลักธรรม เมื่อมีปัญหาก็ใช้วิธีดูแลจิตใจของเราให้ดีที่สุด เมื่อทำธุรกิจไปพูดคุยกับลูกน้องหรือคนข้างนอก ก็ใช้หลักเมตตา พูดจาดี ทำให้ชีวิตคู่และการทำงานด้วยกันไม่มีปัญหา ถือว่าฝนโชคดีมาก”

ปรัชญาอีกอย่างที่เลือกใช้ชีวิตและการทำงานในองค์กรคือ การดำเนินชีวิตและใช้ชีวิตคู่มีความสุข ไม่ทำให้ชีวิตเกิดความเครียด และท้ายที่สุด มีเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวปีละ 34 ครั้ง การเดินทางแต่ละครั้งมีเวลาหยุด 23 สัปดาห์ โดยไม่กระทบต่อการทำงาน เป็นสิ่งที่ทั้งคู่อยากทำ

ท้ายที่สุด การทำธุรกิจข้าวของเรา “ข้าวหอมคุณยาย” ข้าวออร์แกนิก เป็นบริษัทเล็กที่ไม่ได้หวังยอดขายเติบโตสูง ทำธุรกิจเลี้ยงชีวิตและครอบครัวได้แบบพอเพียง ซึ่งเราทั้งคู่เห็นตรงกันว่า บั้นปลายชีวิตก็จะขอใช้ชีวิตอยู่กับธรรมะมากที่สุด