จับเทรนด์ธุรกิจ รับงาน-ชีวิตคนเมือง

โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

วิถีชีวิตคนเมืองเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของประชากรที่เป็นกำลังในการขับเคลื่อน เมื่อวันนี้คนยุคเจเนอเรชัน วาย เริ่มเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนสังคมเมือง จึงไม่แปลกที่จะได้เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ สะท้อนตัวตนของคนรุ่นนี้ ...

ออฟฟิศแนวใหม่ CoWorking Space

เพราะมุมมองและแนวคิดของคนรุ่นใหม่ในยุคเจเนอเรชัน วาย (Gen Y) ที่มีต่อการอาชีพการทำงานเปลี่ยนไป นิยมหันมาทำอาชีพอิสระรวมทั้งอยากผันตัวออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองมากขึ้น แต่การเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ถ้าทุนไม่หนาพอก็คงยากจะเปิดออฟฟิศเป็นของตัวเองได้...

 

จากจุดนี้เองที่ทำให้ เอมอมฤต เจริญพันธ์ หนุ่มวัย 27 ปี ปิ๊งไอเดียทำธุรกิจออฟฟิศให้เช่า “HUBBA” สถานที่ให้คุณนั่งทำงานแบบสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน

เอมเริ่มเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มธุรกิจนี้ว่า เกิดจากช่วงปลายปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วม ทำให้ต้องแปรสภาพเป็นหนึ่งในผู้อพยพหนีน้องน้ำไปอยู่ที่พัทยา ทำให้ช่วงนั้นต้องตระเวนหาร้านกาแฟที่มีบริการไวไฟหรืออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ติดต่องานและประชุมออฟฟิศ แต่ก็หายากมากที่จะมีร้านลักษณะนี้ เพราะด้วยข้อจำกัดของร้านกาแฟจึงไม่สะดวกที่จะใช้นั่งเป็นออฟฟิศทำงานแบบจริงจัง

“ตอนนั้นรู้สึกเจ็บใจมาก เราอยากทำงานแต่ก็ทำไม่ได้ คิดอย่างเดียวเลยว่าถ้ามีสถานที่ที่พร้อมให้บริการสำหรับนั่งทำงานได้ทั้งวันก็ยินดีที่จะจ่ายและใช้บริการทันที และก็คิดว่าคงไม่ใช่มีแค่เราเท่านั้นที่คิดและรู้สึกแบบนี้ ก็เลยมาเป็น Hubba สถานที่ทำงานแบบ CoWorking Space เหมือนทุกวันนี้”

คอนเซปต์ของ CoWorking Space คือ เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมสมัยก่อนที่มีเหล่าจอมยุทธ์มากฝีมือในแต่ละด้านมารวมตัวกัน มาพบปะ หารือกัน แล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ไอเดียระหว่างกันจนเกิดเป็นชุมชน (Community) ย่อมๆ ขึ้นภายในสเปซแห่งนี้ เพราะคนที่มาใช้บริการที่นี่มีทั้งอาชีพอิสระ นักออกแบบ ครีเอทีฟ ที่ต้องการหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ไม่ใช่นั่งทำงานอยู่กับบ้านหรือไปนั่งตามร้านกาแฟ สุดท้ายก็เจอกับแรงกดดันหรือสิ่งเร้าจนทำให้ทำงานไม่ได้ และกลุ่มผู้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ยังไม่พร้อมสร้างหรือซื้อพื้นที่ทำออฟฟิศ

 

ที่นี่จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการนั่งทำงานอยู่กับบ้านและการออกมานั่งทำงานข้างนอกตามร้านกาแฟต่างๆ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการเข้าไปเล่นฟิตเนสที่จะเข้าไปเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่เอาตัวเองเข้ามา เพราะสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไฮสปีด น้ำ และไฟเราเตรียมไว้รองรับพร้อมหมด

นอกจากนี้ Hubba ยังทำหน้าที่เป็นคนเชื่อมโยง (Connecter) เชื่อมความสัมพันธ์ไมตรีใหม่ๆ ของชุมชนในพื้นที่แห่งนี้ เป็นการเร่งให้เกิดการทำงานหรือจับคู่ธุรกิจระหว่างกันด้วย

Hubba แบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนสาธารณะ (Public Zone) มีโต๊ะรวมไว้ให้บริการ และโซนเงียบ (Quiet Zone) สำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายและต้องการสมาธิในการทำงานมากๆ นอกจากนี้ยังมีห้องประชุมสำหรับบริการการจัดประชุมย่อย หรือสำหรับทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) นอกจากยังมีบริการเช่าห้องออฟฟิศส่วนตัว ซึ่งก็มีทีมงานของ Creative Move และ Portfolio.net เข้ามาจับจองกันไว้เรียบร้อยแล้ว

อัตราค่าบริการกลุ่มขาจรที่เดินเข้ามาก็จะคิดค่าบริการวันละ 265 บาท เทียบได้กับการไปนั่งในร้านกาแฟชื่อดังแล้วต้องซื้อกาแฟ 2 แก้วกิน แต่ที่นี่สามารถนั่งได้ทั้งวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้ายาวไปจนถึง 4 ทุ่ม ได้โดยที่ไม่มีใครมาคอยกดดัน (หัวเราะ) สำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกรายเดือนจะอยู่ที่ 4,650 บาท เฉลี่ยตกวันละ 155 บาท หรือจะเป็นสมาชิกรายปีก็คิดค่าบริการปีละ 3.65 หมื่นบาท ก็เฉลี่ยเหลือแค่วันละ 100 บาทเท่านั้น

 

เมื่อถามว่า ขณะนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยังกับธุรกิจนี้ที่เพิ่งแจ้งเกิดมาได้ 1 ปีเศษ แต่มีจำนวนผู้ที่เคยมาใช้บริการที่นี่แล้วกว่า 3,000 คน และมีสมาชิกที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ 100 คน โดยแต่ละวันจะมีสมาชิกเข้ามาใช้บริการวันละ 3050 คน เอมตอบว่า ผมถือว่าประสบความสำเร็จในระดับเริ่มต้น ที่สามารถเอาคำว่า CoWorking ในอุดมคติมาใช้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ ทำให้เห็นว่ามันเจ๋งจริงและเจ๋งยังไงมากกว่า

แน่นอนว่าเมื่อตัวโมเดลธุรกิจมันเจ๋งจริงประกอบกับเทรนด์ที่กำลังมา จึงไม่แปลกที่จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจแบบ Hubba โต โดยคาดว่าปีนี้จะมีน้องใหม่ตามมาถึง 4 แห่ง แห่งแรกจะเป็นการขยายสาขาไปฝั่งตรงข้ามกับแห่งแรก (อยู่เอกมัย ซอย 4) ซึ่งจะจัดให้เน้นเป็นออฟฟิศสำหรับกลุ่มนักออกแบบและโปรแกรมเมอร์โดยเฉพาะ และจะมีการร่วมทุนกับหุ้นส่วนพันธมิตรที่มีอุดมคติเดียวกันเปิดที่เชียงใหม่และหัวหิน ส่วนอีกแห่งอยู่ระหว่างเจรจาตกลง

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแผนที่จะบุกตลาดเพื่อนบ้านด้วย โดยปีหน้ามีแผนที่จะไปเปิดออฟฟิศที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นที่สนใจธุรกิจนี้และชักชวนให้ไปเปิดที่ สปป.ลาวด้วย ส่วนใครที่มีแนวคิดเหมือนกันแล้วสนใจที่จะทำธุรกิจนี้ก็ยินดีสนับสนุน แต่ยังไม่คิดไกลไปถึงรูปแบบแฟรนไชส์

 

“ธุรกิจนี้ไม่ได้สร้างกำไรหวือหวา เพราะเราไม่ได้มองตัวสมาชิกเป็นเพียงลูกค้าเท่านั้น แต่เราเห็นเขาเป็นมากกว่าเพื่อน มองว่ามีอะไรที่เราพอจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจหรืองานของเขาประสบความสำเร็จได้ เราก็จะช่วยสนับสนุนให้ เพราะหากวันใดเขาประสบความสำเร็จ นั่นก็จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังๆในชุมชนของเรา” เอม กล่าวทิ้งท้าย

เฉลิมยุทธ์ บุญมา หรือโน้ต สมาชิกกลุ่ม Startup (ธุรกิจเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นบนมือถือ) ที่มาใช้บริการที่ Hubba เล่าว่า เหตุผลที่เลือกที่นี่เพราะมันเหมาะกับอาชีพที่ค่อนข้างส่วนตัวและเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ อย่างผม ที่ต้องการเซฟค่าใช้จ่ายในการสร้างออฟฟิศ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันก็ยังได้สังคม ได้เครือข่าย อย่างเวลารับจ๊อบงานมา ต้องการคนทำแบนเนอร์บนหน้าเว็บ หรือต้องการคนทำอีเวนต์ก็สอบถามขอความช่วยเหลือจากคนในนี้ได้

“ถ้าจะให้นั่งทำงานอยู่บ้านตลอด 5 วัน ก็คงจะรู้สึกขี้เกียจ เพราะมีสิ่งเร้าเยอะ เห็นเตียงก็อยากนอน ทำให้ความคิดไม่แล่น ส่วนร้านกาแฟก็เคยใช้บริการ แต่จะเป็นแบบแค่เช็กเมล ส่งเมลเท่านั้น เพราะจะให้นั่งทำงานจริงจังคงไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเลือกมานั่งทำงานที่นี่ดีกว่า เพราะการมีเพื่อนร่วมงานนั่งด้วยก็ทำให้เกิดการแข่งขันไปในตัว เพราะเมื่อเราเห็นคนอื่นทำงานแล้ว เราจะมัวมานั่งเล่นเกมก็คงไม่ได้” โน้ต ทิ้งท้าย

 

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ออฟฟิศเสมือน เช่าทำงานอย่างอิสระ

นอกจากออฟฟิศเช่าไอเดียเจ๋งๆ ของคนไทยแล้ว ธุรกิจข้ามชาติก็เริ่มเห็นเทรนด์การทำงานของคนรุ่นใหม่ในเมืองที่เริ่มขยายวงมากขึ้น จึงเริ่มขยับขยายการลงทุนเข้ามารองรับในรูปแบบ สำนักงานเสมือน (Virtual Office)

เซอร์ฟคอร์ป ผู้ให้บริการ สำนักงานเสมือน (Virtual Office) เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองซีดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อปี 2521 และได้ขยายตัวไปหลายประเทศทั่วโลก เพื่อรองรับกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ หรือต้องตกแต่งอาคารสำนักงาน แต่สามารถมีสถานที่ทำงานได้ในย่านใจกลางเมือง

รักชนก ทิวา ผู้จัดการ บริษัท เซอร์ฟคอร์ป (ประเทศไทย) เล่าว่า สาขาประเทศไทยก่อตั้งมาแล้ว 26 ปี และได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 1025% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สอดรับกับความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่สามารถใช้ออฟฟิศเสมือนเพื่อทำงานเริ่มต้นเพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องจ้างเลขาฯ ส่วนตัว แต่ทางบริษัทจัดหาเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถคอยให้บริการ โดยเฉพาะภาษาที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษแต่เพียงอย่างเดียว

 

สำนักงานเสมือนรองรับผู้ใช้บริการในหลากหลายธุรกิจ เพราะนักธุรกิจที่เข้ามาใช้บริการนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาใช้บริการพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันก็รองรับได้ตั้ง ขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นงานด้านครีเอทีฟที่จะต้องใช้ความสร้างสรรค์ ธุรกิจค้าขาย หรือไอที จนไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ข้ามชาติ สามารถเช่าพื้นที่ไว้ทำงานได้เช่นกัน

โดยอาจจะเริ่มจากพื้นที่เช่ารายเดือนขนาด 100 ตารางเมตร (ตร.ม.) เสียค่าเช่ารายเดือนเริ่มต้นที่รายเดือนในหลักพันบาท ไม่มีสัญญาผูกมัดเป็นรายปี โดยบริษัทจะกำหนดเวลาว่าจะสามารถเข้ามาใช้บริการได้ 12 ชั่วโมงต่อวัน มีห้องประชุมไว้สำหรับใช้บริการ มีเลขาฯ ไว้ช่วยรับโทรศัพท์และตอบคำถาม อีกทั้งยังให้บริการจัดประชุม มีการให้บริการเครื่องดื่ม เพียงแต่ไม่มีพื้นที่โกดังเพื่อให้เก็บสินค้า

“ที่นี่เหมาะมากกับการทำธุรกิจข้ามชาติ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานเหมือนเลขาฯ ส่วนตัว คอยรับสายให้ตลอด 24 ชั่วโมง และเมื่อมีการเดินทางไปทำงานในประเทศอื่น ก็สามารถใช้สำนักงานเสมือนที่มีสาขาในต่างประเทศที่มีอยู่ 140 สาขาทั่วโลก ดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างไม่สะดุด ลูกค้าสามารถใช้บริการข้ามประเทศได้เมื่อเดินทางไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ” รักชนก กล่าว

สำหรับสาขาประเทศไทยเปิดให้บริการบนอาคารสำนักงาน 3 แห่ง ประกอบด้วยอาคาร ซิลลิค เฮ้าส์ สีลม อาคารดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ และอาคารปาร์คเวนเจอร์ มีพื้นที่รวมกว่า 4,000 ตร.ม.

แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจอาคารสำนักงานเสมือนมีผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันเพื่อหาลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่ธุรกิจที่จะอยู่ได้นั้นอยู่ที่การให้บริการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะบริการที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมห้องประชุม ที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลใจกลางเมือง สามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อย เช่น เครื่องดื่มชา กาแฟ ไปจนถึงแชมเปญ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่กำลังมองหาสำนักงานกลางเมืองที่ไม่ต้องลงทุนสร้างสำนักงานเอง