posttoday

ถอดสตั๊ด เปิดใจ ... ‘อุ้ม’ ธีราทร

19 ตุลาคม 2556

หากเอ่ยชื่อ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ขึ้นมาลอยๆ เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักหรืออาจแค่คุ้นชื่ออยู่บ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่นิยามผู้ชายคนนี้ได้ถูกต้อง

โดย...มิวโกโตะ ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

หากเอ่ยชื่อ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ขึ้นมาลอยๆ เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักหรืออาจแค่คุ้นชื่ออยู่บ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่นิยามผู้ชายคนนี้ได้ถูกต้อง

ก่อนมีโอกาสนั่งจับเข่าคุยกับ เจ้าอุ้ม แบบจริงๆ จังๆ ผมได้แอบทำรีเสิร์ชตามถนัด ด้วยการถามเพื่อนพ้องน้องพี่แบบคละสถานะว่ารู้จักคนชื่อนี้หรือไม่

80% ให้คำตอบว่า “รู้จัก” แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นอยู่ที่คำนิยาม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าแทบไม่มีใครเลยที่ตอบเหมือนกัน

บ้างก็ว่า “แบดบอย” “แบ็กซ้าย” “นักฟุตบอล” “หล่อ” “ตุ๊ดเกย์” “เถื่อน” “โคตะระเทพ” “ดารา” “เจ้าชู้” ฯลฯ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงอาสาพาไปรู้จักว่าจริงๆ แล้ว ธีราทร ตัวจริงเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ขอใบ้ไว้ก่อนว่า... นิยามที่คุณแอบเดาไว้ในใจอาจผิดหมดก็เป็นได้

ขออนุญาตปูพื้นฐานคร่าวๆ ว่า ปัจจุบัน “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน คือนักฟุตบอลตำแหน่งแบ็กซ้ายหมายเลข 1 ทีมชาติไทย สังกัดสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ถอดสตั๊ด เปิดใจ ... ‘อุ้ม’ ธีราทร

 

แต่กว่าจะก้าวมายืน ณ จุดนี้ได้ ชีวิตผู้ชายคนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก อุ้ม เล่าให้ฟังว่า เขาเกิดจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน

คุณพ่อเป็นช่างตัดผมรับจ้าง ส่วนคุณแม่ทำงานโรงงานประกอบเลนส์แว่นตาแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี

“ตอนนั้นผมอยู่โรงเรียนวัดแถวบ้าน การเรียนอยู่ในระดับปานกลางถึงห่วยแตก เมื่อเป็นเช่นนั้นช่วงปิดเทอม ป.3 พ่อจึงเข้ามาคุยว่าสนใจไปเรียนโรงเรียนกีฬาไหม จะลองฝากฝังคนรู้จักให้

ผมตอบตกลงชนิดไม่ลังเล ตอนที่รู้ว่าที่นั่นเรียนฟรี เพราะอยากช่วยที่บ้านประหยัดค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนั้นมีน้องเล็กอีก 1 คน

จำได้ว่าวันไปคัดตัวตื่นเต้นมาก ฟุตบอลคืออะไรเราก็ไม่รู้ เดาะบอลก็ไม่ได้ เบสิกก็ไม่มี ผลลัพธ์คือ ไม่ผ่าน แต่โชคดีได้เข้าเรียนเพราะเพื่อนคุณพ่อช่วยฝากฝังให้”

หลังจากเข้าโรงเรียนกีฬาได้สำเร็จ โค้ชและพ่อของแบ็กซ้ายจอมบุกได้พร้อมใจกันขู่ว่า ถ้าไม่คิดจริงจังก็มีสิทธิกลับไปเป็นเด็กโรงเรียนวัดเหมือนเดิม ด้วยความที่ไม่อยากกลับไปเป็นภาระครอบครัวอีก เด็กหนุ่มวัย 9 ขวบ จึงเรียนรู้และขยันฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น จนกีฬาลูกหนังเริ่มแทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจของอุ้มเต็มดวงแบบอัตโนมัติ กระทั่งโอกาสดีๆ เริ่มคืบคลานเข้ามาในชีวิต

“ผมเล่นอยู่ที่โรงเรียนกีฬาประมาณ 45 ปี พออายุ 15 ปี ก็ได้ย้ายไปโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ภายใต้โครงการนักกีฬาช้างเผือก ซึ่งที่นั่นเปรียบเสมือนดาบสองคมสำหรับผมเลยนะ

ผมรู้สึกว่าดีจังกับการได้นั่งเรียนในห้องแอร์ แถมโฟกัสแต่เรื่องแข่งบอลเป็นหลัก ส่วนวิชาการถ้าตกก็สอบซ่อมได้ ชีวิตเลยชิลมาก แต่สิ่งที่ทำให้เสียใจจนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เคยโทรไปงอแงที่บ้านให้เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ตามเพื่อนๆ ในโรงเรียน ผมถึงขั้นร้องไห้ในห้องน้ำเลยนะ สุดท้ายพ่อกับแม่ยอมเอาบัตรไปรูดมาให้ ตอนนั้นสารภาพเลยว่าไม่คิดอะไร

ถอดสตั๊ด เปิดใจ ... ‘อุ้ม’ ธีราทร

แต่พอนึกย้อนกลับไปถึงหนี้ที่ทางบ้านต้องนั่งแบกเพราะเรา มันเป็นอะไรที่รู้สึกแย่สุดๆ”

โชคดีว่าความกตัญญูสะกิดเตือนไว้ได้ทัน อุ้มจึงเลิกฟุ่มเฟือยตามกระแสเพื่อน จากนั้นเมื่อเริ่มมีรายได้ทั้งจากเบี้ยเลี้ยงและรางวัลประจำทัวร์นาเมนต์ก็ยกให้ที่บ้านทั้งหมด

ด้วยพรสวรรค์บวกพรแสวงมาบรรจบ ส่งผลให้คาแรกเตอร์ในสนามของ ธีราทร โดดเด่นจนสามารถติดทีมชาติครบทุกชุดตั้งแต่รุ่น 12 ปีจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ ซึ่งมีไม่กี่คนในบ้านเราที่ทำได้

และเป็นธงชาติและโลโก้ช้างศึกบนหน้าอกนี่เอง ที่พาหนุ่มคนนี้ดังเปรี้ยงชั่วข้ามคืน

“ผมไม่มีทางลืมเหตุการณ์วันนั้นเด็ดขาด และไม่รู้ด้วยว่าจะเรียกว่าแจ้งเกิดหรือแจ้งดับดี ตอนโดน 2 ใบแดงติดต่อจากการลงรับใช้ชาติฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกและซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ประเทศอินโดนีเซีย

ภายในเวลา 3 วัน ทำให้ทุกคนรู้จักผมในฐานะแพะรับบาป ยอมรับว่าเครียดมากถึงขั้นอยากอำลาทีมชาติ แต่พ่อเตือนสติว่า จะยอมเหนื่อยมาทั้งชีวิตเพื่อยอมแพ้วันนี้จริงหรือ รวมถึงเพื่อนสาวคนสนิทก็ให้กำลังใจ โดยยุให้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส กลับไปติดธงเพื่อพิสูจน์ให้แฟนบอลเห็น ช่วงนั้นต้องพึ่งธรรมะด้วยการแอบไปบวชเงียบๆ พักหนึ่ง หลังจากมีสมาธิเพิ่มขึ้น ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง”

อุ้ม เปิดใจกับเราว่า ภาพที่เห็นใบหน้าซีเรียสเวลาลงเล่น เกิดจากอารมณ์กระหายชัยชนะ ทุกนัดที่ลงเล่นล้วนไม่อยากแพ้ บางครั้งจึงมีหลุดไปบ้าง นอกจากนั้นฟีดแบ็กเรื่องใบแดงยังคงถูกหยิบมาใช้เตือนสติทุกครั้งจนทุกวันนี้คิดว่าตัวเองปรับปรุงเรื่องอารมณ์ได้ดีขึ้นมาก พร้อมเล่าให้ฟังต่อเนื่องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า วันที่ภาคภูมิใจที่สุดในสนามเกิดขึ้นตอนทัวร์นาเมนต์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012”

เพราะถือเป็นรายการแห่งการวัดดวงก็ว่าได้ ซึ่งก่อนแข่งมีถนนสายชีวิตให้เลือก 2 ทาง คือ โอกาสไปซ้อมฟุตบอลกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี ณ ประเทศอังกฤษ หรือการอยู่รับใช้ชาติเพื่อเรียกศรัทธาจากแฟนบอลคืน ซึ่งการเลือกสวมเสื้อทีมชาติชิงความเป็นเจ้าอาเซียนและได้ยินแฟนบอลกลับมาตะโกนเรียกชื่อเราในสนาม ถือเป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืม แม้จะจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ก็ตาม ส่วนความภูมิใจนอกสนามคือการได้ตอบแทนบุพการี

“รู้สึกดีใจมากที่แฟนบอลกลับมาหนุนหลังอีกครั้ง เพราะทุกครั้งที่ลงเล่นไม่ว่าจะระดับสโมสรหรือทีมชาติ ผมทำสิ่งเดียวกัน คือ ใส่หมดแม็กเท่าที่กำลังมี ขอบคุณ คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์

ที่ดูแลและสนับสนุนอย่างดี จนผมสามารถซื้อบ้านหลังใหม่ราคา 6 ล้านบาท ให้พ่อแม่อยู่สบายขึ้น รวมถึงการดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด”

ว่าด้วยเรื่องความฝันแข้งวัย 23 ปี กล่าวด้วยแววตาเป็นประกายว่าอยากโกอินเตอร์เพื่อหาประสบการณ์ โดยอยากเริ่มต้นในระดับเอเชียก่อน เพื่อเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ อาจเริ่มจากญี่ปุ่นหรือเกาหลีอะไรประมาณนี้ ขณะนี้เริ่มมีแมวมองต่างชาติเข้ามาดูฟอร์มเรื่อยๆ ซึ่งถ้าทุกอย่างลงตัวก็พร้อมเดินทางไปเก็บชั่วโมงบินต่างแดน แต่คงยังไม่คาดหวังถึงขั้นยุโรป เพราะเรื่องของการปะทะเรายังต้องฝึกอีกเยอะ ส่วนน้องๆ เยาวชนที่อยากเข้ามาสู่ถนนสายลูกหนังอาชีพ เคล็ดลับความสำเร็จมีชื่อสั้นๆ ว่า ความมุ่งมั่น

“มีหลายครั้งที่รู้สึกท้อ แต่พอหันหลังกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง ผมก็กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง ใครอยากเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง การซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม นั่นแหละกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ตอนนี้ผมพอใจฟอร์มการเล่นตัวเองมาก

โดยเฉพาะเกมรุก ส่วนที่กำลังปรับปรุงคือลูกกลางอากาศ”

ขณะกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติ ผมลองเกริ่นเรื่องแบบสำรวจว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนนิยามตัวตน ธีราทร เชิงลบว่าเป็น “แบดบอย” “ตุ๊ดเกย์” “เถื่อน” “เจ้าชู้” อะไรประมาณนี้ ซึ่งเจ้าตัวไม่ซีเรียส เพราะบางคนอาจไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของเรา พร้อมแก้ตัวบางประเด็นดังนี้

“ไม่รู้ทำไมคนมองผมหลากหลายขนาดนี้ จริงๆ ชีวิตผมค่อนข้างราบเรียบนะ ส่วนตัวผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน วันว่างก็แค่เดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อตากแอร์ฟรีมากกว่า (หัวเราะ)

ถ้าอยู่แคมป์บุรีรัมย์ ก็มีเล่นสนุกเกอร์ ดูโทรทัศน์ หรือเล่นวิดีโอเกมกับเพื่อนๆ บ้างเป็นการรีแลกซ์ กรณีแต๋วแตกไม่มีทางเด็ดขาด ผมแมน 100% ครับ ไม่เชื่อถามแฟนได้

ส่วนรูปเพี้ยนๆ ที่เห็นในโลกออนไลน์ รุ่นพี่ชวนถ่ายเล่นขำๆ ก่อนแข่งแค่นั้น เพราะที่นี่เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง”

สำหรับนักเตะในดวงใจของปราการหลังเซาะกราวได้แก่ แอชลีย์ โคล แบ๊กซ้ายจอมเก๋าแห่งทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี โดยชื่นชอบความบู๊ยามลงสนาม

รวมถึง คริสเตียโน โรนัลโด แข้งซุป’ตาร์ชาวโปรตุกีส เคยให้สัมภาษณ์ว่า โคล คือคนที่ต่อกรด้วยยากที่สุด ยิ่งตอกย้ำความเป็นไอดอลเข้าไปอีก

ส่วนบทสรุปปิดท้ายวันนี้ อุ้ม อยากเห็นการบริหารงานแบบมืออาชีพ เพื่อให้วงการฟุตบอลไทยพัฒนาไปแบบยั่งยืน

“อยากให้ผู้ใหญ่ในวงการสามัคคีกัน ทำงานแบบเอาจริงเอาจังครับ อยากเห็นความเป็นมืออาชีพ เพราะผมเชื่อว่าถ้าเรามีมาตรฐานที่ดี ปัญหาต่างๆ มันจะน้อยลง อย่างพักหลังมีข่าวแฟนบอลตีกันบ่อยขึ้น ผมคิดว่าถ้าบทลงโทษมันรุนแรงพอ กองเชียร์อารมณ์ร้อนพวกนั้นอาจยั้งคิดมากกว่านี้ ส่วนเรื่องกรรมการที่มีข่าวถูกยิงข่มขู่ มันไม่ควรเกิดขึ้นอีก แต่พวกเขาก็ต้องมั่นใจด้วยนะว่าเป่าอย่างยุติธรรมแล้ว”

ต้องขอบอกเลยว่า การได้สนทนากับเจ้าอุ้มในวันนี้ ทำให้ผมได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่าง ประการแรก เราไม่ควรตัดสินใคร หากยังไม่ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเขา

ข้อคิดถัดมาคือ การตอกย้ำว่าคนกตัญูญูมักเจริญก้าวหน้าเสมอ รวมถึงเชื่อคติพจน์ที่ว่า “วิริยะ อุตสาหะ นำมาสู่ความสำเร็จ” ยังเป็นคำสอนที่ไม่ควรถูกลืม ปิดท้ายคอลัมน์นี้

กองหลังทีมปราสาทสายฟ้าได้อ้อนแฟนบอลให้ช่วยสนับสนุนทีมชาติไทยทุกชุด และอย่าลืมส่งกำลังใจไปที่ประเทศพม่าในเดือน ธ.ค.นี้ ให้ขุนพลช้างศึกช่วยกันเรียกศรัทธาในกีฬาซีเกมส์ที่เราห่างหายความสำเร็จมานานถึง 6 ปี

รู้จักอุ้มกันเถอะ

ชื่อเสียงเรียงนาม : ธีราทร บุญมาทัน

ลืมตาดูโลก : 6 ก.พ. 2533 (23 ปี)

ส่วนสูง : 172 ซม.

ตำแหน่ง : แบ็กซ้าย

สโมสรเยาวชน : โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี

สโมสรปัจจุบัน : บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (หมายเลข 2)

คติประจำใจ : หมากรุกยังต้องคิด หมากชีวิตไม่คิดได้ไง

ทำเนียบแชมป์

ชนะเลิศ ไทยพรีเมียร์ลีก พ.ศ. 2554

ชนะเลิศ ไทยคม เอฟเอคัพ พ.ศ. 2554

ชนะเลิศ ไทยคม เอฟเอคัพ พ.ศ. 2555

ชนะเลิศ โตโยต้า ลีกคัพ พ.ศ. 2555