ครอบครัวที่ไว้ใจกัน ของ 'ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน'
สไตล์การเลี้ยงลูกแบบกอดไว้แนบอกหรือหวงไว้เหมือนไข่ในหิน คงใช้ไม่ได้กับสไตล์การเลี้ยงลูกของ “ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน”
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
สไตล์การเลี้ยงลูกแบบกอดไว้แนบอกหรือหวงไว้เหมือนไข่ในหิน คงใช้ไม่ได้กับสไตล์การเลี้ยงลูกของ “ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ผู้มีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ร่วมกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ
ลูกทั้ง 3 คน คือ ลิลลี่ กิตติศรีกังาน ลูกสาวคนโตวัย 22 ปี ได้ทุน ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ไปเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่อังกฤษ ปัจจุบันเรียนอยู่ปีที่ 2
ลูกสาวคนรอง “ลิต้า” ลลิตา กิตติศรีกังวาน ลูกสาวคนรองวัย 18 ปี ศิษย์เก่าโรงเรียนมัธยมอำนวยศิลป์ ที่แม้จะชอบเต้นรำเป็นชีวิตจิตใจ สามารถคว้าทุนเล่าเรียนหลวงปี 2556 ไปเรียนที่ Phillips Academy at Andover, Massachusetts มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐได้
คนสุดท้อง “บอล” ธนบูรณ์ กิตติศรีกังวาน ลูกชายวัย 17 ปี ยังเรียนมัธยม 5 ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ผู้รักการเล่นฟุตบอลเป็นที่สุด
ไพบูลย์ : ครอบครัวสุขสันต์
เขาเล่าว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวตัวเองราบรื่นมาตลอด แม้มีลูกเป็นวัยรุ่นวัยไล่เลี่ยกัน มีอะไรลูกจะเข้ามาปรึกษากล้าคุยกับพ่อ
“ผมเลี้ยงลูกแบบงงๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่มีตำราหรือหลักวิชาการอะไรเหมือนงานที่ทำ เน้นซื้อของเล่นที่สร้างพัฒนาตามวัย เล่านิทานสร้างจินตนาการตามปกติเหมือนครอบครัวอื่นๆ”
ที่สำคัญเน้นให้ทางเลือกกับลูกมากกว่าบังคับลูกให้เลือกอย่างที่เราชอบ ตอนเด็กลูกไม่ชอบการติว เหมือนเป็นทุกข์ ยัดเยียดไปก็คงไม่มีประโยชน์ ที่บ้านจึงไม่เน้นให้ลูกเรียนพิเศษและไม่บังคับให้เรียนวิชาการ แต่จะปล่อยให้พวกเขาสำรวจความชอบของตัวเองด้านอื่น ให้มีความสุขกับสิ่งที่เขาชอบ ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
เขาเป็นคนให้โอกาสลูกเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้เขาค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร ให้ลูกเรียนรู้กิจกรรม เรียนรู้ความชำนาญต่างๆ ยกเว้นวิชาการ เลี้ยงแบบบุฟเฟต์ ให้ลูกดูแลกันเอง
อย่าง ลิลลี่ พอลองเรียนหลายอย่าง เขาก็ชอบเปียโน ลิต้า ชอบเต้นรำมาก เคยไปร่วม Cover Dance กับวง Since ของประเทศเกาหลีตั้งแต่อายุ 1314 ปี ส่วนบอลเรียนมาหลายอย่างก็มาลงเอยชอบเล่นกีตาร์และเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตู “เราควรเลี้ยงลูกให้มีความยืดหยุ่น ให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นผู้กำกับอยู่ห่างๆ อย่าชี้นิ้วสั่ง ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือให้เขามาบอกเอง เพราะชีวิตเขา เขาต้องเลือกเอง เพื่อเขาจะได้มีความสุขกับสิ่งที่เขาชอบ อย่าบังคับว่าลูกต้องเรียนหมอ วิศวะ หรืออะไร”
เขาไม่เคยบังคับให้ลูกมาเป็นเหมือนตัวเอง คนเราชอบไม่เหมือนกัน อย่าไปเคร่งเครียดมาก เน้นให้โอกาสกัน ให้ได้เรียนรู้ แล้วให้เลือกเอง ที่สำคัญเลี้ยงลูกให้เป็นเพื่อนกัน ไว้ใจกัน มีอะไรจะได้ปรึกษากัน
“ผมว่าสิ่งที่ลูกยอมรับผมได้ คือ ผมให้อิสระ และมีความไว้วางใจกับลูก ทั้งในการคิด ชีวิตการเรียน แม้ลูกจะเรียนไม่ได้ดีมาก เน้นกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่ แต่ลูกทุกคนก็รู้จักรับผิดชอบทั้งเรื่องเรียนและสิ่งที่เขาชอบ”
ถือว่าครอบครัวโชคดีที่ลูกๆ มีความสุขกับชีวิตตัวเองในแบบที่เขาเลือก อย่าคาดหวังว่าลูกต้องเป็นแบบไหน ต้องไว้ใจลูกด้วย เพราะการที่เราสมหวังอาจจะเป็นความสุขเรา ไม่ใช่ความสุขหรือความสมหวังของลูกก็ได้ ผมจึงเลือกที่จะส่งเสริมในสิ่งที่เขาชอบ ไม่คาดหวังให้เขาโตเอง คิดเอง ลูกชอบทางไหนเราค่อยส่งเสริม ต้องเลี้ยงลูกๆ ให้มีความสุข ไม่ใช่เลี้ยงลูกให้เก่ง ผมเชื่อว่างานในทุกอาชีพมีความสำคัญ แล้วแต่จะเลือก ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ในจุดสำคัญหรือทำนโยบายการเงินอะไรแบบผมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องขีดเส้นให้ลูกเดิน
ลิลลี่ : คุณพ่อเชื่อใจลูก
“ลิลลี่” เล่าว่า เธอกับน้องๆ โชคดีมาก ที่จุดเริ่มต้นได้เปรียบคนอื่น เพราะได้โอกาสในการเรียนรู้ พ่อไม่บังคับให้ทำโน่นทำนี่ และปลื้มคุณพ่อใน 2 เรื่อง คือ พ่อท่านเป็นนักเรียนทุนธนาคารที่อังกฤษเหมือนกัน แต่คุณพ่อได้มายาก ต้องตั้งใจเรียนจริงๆ จึงได้มา ต่างจากปัจจุบัน แต่ก็มีความสำเร็จเช่นกัน ตอนเด็กๆ ลิลลี่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับคุณค่าในงานของพ่อ แต่โตมาถึงรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้เลือก ได้เรียนรู้คุณค่าของงานทุกอย่างที่ไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนเป็นเงินจำนวนมาก
พ่อสอนให้เรียนรู้ที่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ลิลลี่เป็นคณะกรรมการนักเรียนไทยที่เคมบริดจ์ เวลาจะทำอะไร จัดกิจกรรม ก็ต้องเชื่อว่าจะทำสิ่งที่ถูกสำหรับทุกคน
สำคัญ คือ ได้โอกาสและได้อิสระ ได้ความไว้ใจจากพ่อ ทำให้เรียนรู้คิดเอง เลือกความสำเร็จในรูปแบบของตนเอง เพราะพ่อเป็นคนที่ทันสมัย ทำให้เข้าใจกันง่าย สื่อสารกันได้ทุกช่องทาง ไลน์ เฟซบุ๊ก มีอะไรก็กล้าที่จะปรึกษาและคุยให้ฟังแทบทุกเรื่อง
พวกเราเห็นพ่อแม่ทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เห็นคุณค่าของการทำงานมาก แม้พ่อแม่จะไม่ได้สอนโดยตรง เพราะตอนพ่อแม่ทำงานจะทุ่มเทมาก กลับบ้านดึก 23 ทุ่มบ่อย ทำให้เห็นคุณค่าของงาน แม้งานที่ทำจะไม่ได้เงินเยอะเหมือนงานของพ่อแม่เพื่อนบางคน แต่ลิลลี่ยิ่งโตยิ่งคิดว่าคุณค่าการทำงานถึงไม่รวย แต่ทำงานที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อสังคม ก็รู้สึกดีได้ เพราะงานทุกอย่างมีมูลค่าในตัวเอง มีความภาคภูมิใจได้อยู่แล้ว มาวันนี้ ถึงลิลลี่จะไม่ได้สำเร็จในแบบพ่อ แต่ก็ภูมิใจในความสำเร็จในแบบของเราเองได้