posttoday

โชติช่วงชัชวาล ศูรางกูร สมอง 2 ซีกที่เติมเต็มกัน

21 กันยายน 2556

พี่น้องฝาแฝดมักมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงนิสัยใจคอด้วย

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

พี่น้องฝาแฝดมักมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงนิสัยใจคอด้วย แต่สำหรับ “ต้นโชติช่วง ศูรางกูร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ และ “ต่อชัชวาล ศูรางกูร” ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาดและพัฒนาแบรนด์ เซเรนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป บุตรชายฝาแฝดทายาทธุรกิจของ “ศุภฤกษ์ ศูรางกูร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ พวกเขากลับรู้สึกว่า แม้เป็นฝาแฝดกัน ทั้ง 2 คน กลับมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต่างกัน แต่เป็นความแตกต่างที่ลงตัว เพราะช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันได้

ต้น : ‘คู่แฝดที่แตกต่างกัน’

การเป็นฝาแฝด บางคนมักจะคิดว่าต้องมีอะไรเหมือนกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน มีทัศนคติคล้ายกัน แต่สำหรับคู่ของผมค่อนข้างแตกต่าง แต่เป็นความแตกต่างที่ส่งเสริมกัน คือ เขาเก่งด้านหนึ่ง ผมเก่งอีกด้านหนึ่ง เมื่อนำทัศนคติของ 2 คนมารวมกัน ก็สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้

เมื่อเราทั้ง 2 คน ต้องเข้ามาทำธุรกิจของครอบครัวด้วยกัน เราก็แบ่งงานกันดูแล ให้แต่ละคนมีบทบาทในการเติมเต็มแต่ละช่องทางกัน ไม่ได้แยกว่าใครดูบริษัทใดบริษัทหนึ่งไปเลย ผมจะดูแลบริษัททัวร์ 80% ให้ต่อดูแล 20% ส่วนโรงแรม ต่อเป็นคนดูแล 80% ผมจะดูแล 20%

ต่อเหมาะกับการดูแลโรงแรม เพราะต้องใช้ทักษะด้านศิลปะ ต้องเป็นคนมีสีสันระดับหนึ่ง ส่วนผมจะถนัดการเน้นงานที่ใช้หลักการและเหตุผลมากกว่า เลยคิดว่าไปทำทัวร์น่าจะดีกว่า

เรา 2 คน เรียนจบกันคนละด้าน ต่อเรียนจบปริญญาตรีด้านวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนผมเรียนจบด้านการตลาด

จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่เราสองคนก็ไปเรียนต่อเอ็มบีเอที่ออสเตรเลียด้วยกัน ผมจะเน้นเรียนด้านบริหาร ส่วนต่อจะเรียนด้านการทำตลาดนานาชาติ

ต่อจะมีทักษะที่แตกต่างจากผม เขาจะถนัดทางด้านการทำตลาดออนไลน์มาก ผมเคยทำงานกับบริษัทเอเยนซีต่างๆ มาเยอะ แต่คนเก่งๆ ในเอเยนซีต่างๆ ที่เจอมา อาจจะทำการตลาดออนไลน์เก่งสู้คนนี้ไม่ได้ (ต้นชมหันไปมองต่อ ส่วนต่อก็ยิ้มปรบมือน้อมรับคำชม) จะเรียกว่าการทำตลาดออนไลน์ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเขาเลยทีเดียว ทั้งที่เขาไม่ได้เรียนจบด้านนี้มา แต่เขาก็ศึกษาเองจนเชี่ยวชาญ

ทักษะทางด้านไอทีของผมไม่มาก ซึ่งต่อก็ช่วยผมได้เยอะ เวลามีอะไรเรื่องไอทีผมก็จะถามไปถามมาตามสไตล์พี่น้อง ถ้าเป็นเพื่อนกันถามมากอาจจะรำคาญก็ได้ แต่ผมถามต้นในแบบพี่น้องที่มีเป้าหมายชัดเจน คือ เพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน ขับเคลื่อนให้บริษัทเติบโต ส่วนเรื่องส่วนตัว เราไม่ค่อยได้คุยหรือปรึกษากันนัก ตามสไตล์ผู้ชาย เราจะคุยกันเรื่องงานเป็นหลัก

เวลาทำงานด้วยกัน เราก็จะเติมเต็มกันได้ลงตัว เช่น พอผมคิดผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ๆ ออกมา ต่อจะดำเนินการเรื่องการสื่อสารการตลาดต่อได้ดี เขารู้ใจเรา โตมาด้วยกัน บางทีไม่ต้องเปิดปากก็รู้ว่าอะไร อย่างเช่นเดินไปด้วยกันเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง พอหันมาหาต่อก็จะคุยกันได้เลย เพราะสิ่งที่เรามองคือสิ่งเดียวกัน

เหมือนกับเราได้ฝึกสมองช่วยกันคิดตลอดเวลา เวลาเจออะไรก็จะมีความเข้าใจตรงกัน

ต่อ : ‘เป็นสมองคนละซีก’

ผมกับต้นเป็นเหมือนกับสมองคนละซีก ต้นเป็นสมองซีกซ้าย ส่วนผมเป็นสมองซีกขวา เมื่อสมองทั้ง 2 ซีกมารวมกัน ก็จะเติมเต็มกันและกันได้ดี และแม้ว่าผมกับต้นจะเป็นฝาแฝดกัน เกิดห่างกันแค่ 1 นาที แต่ต้นเกิดก่อนผม ต้นก็จะมีบุคลิกเป็นพี่ชายเลย เขาจะแสดงบทบาทตัวเองเป็นเหมือนพี่ชายของผม ไม่ใช่เป็นเพื่อนกัน เขาคอยให้คำปรึกษากับผมได้เยอะในหลายด้าน เช่น การเรียน ต้นจะเก่งเรื่องตัวเลข ก็จะเป็นครูให้ผมได้

มีหลายครั้งที่การทำงานจะต้องเจอกระบวนการนำเสนอไอเดียใหม่ๆ ผมก็จะไปแลกเปลี่ยนไอเดียกับเขา ก็พบว่าเขามีไอเดียดีๆ เยอะเลย เขาจะเป็นคนที่มองอะไรแบบภาพรวม เรื่องการผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า ผมก็จะได้ไอเดียดีๆ จากเขา ยิ่งเราสนิทกันมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทะเลาะกันมาก แต่เพราะต้นแสดงบทบาทในฐานะพี่ชาย เขาก็จะพยายามวางกรอบกฎเกณฑ์เอาไว้ใช้เวลาเราคุยกัน เหมือนเป็นสัญญาใจว่า เรา 2 คน จะไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้นะ ต้นจะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าผมพอสมควร

ผมกับต้นจะมีเรื่องประทับใจร่วมกันอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าจะให้นึกออกมาสักเรื่องคงนึกไม่ออก เพราะเราคุยกันอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียด้วยกัน แต่ต้นจะต้องกลับมาไทยก่อน 6 เดือน ช่วงนั้นทำให้ผมโตขึ้นเยอะ เพราะต้องทำอะไรทุกอย่างเองหมด จากที่แต่ก่อน ต้นจะเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง เช่น จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ

รู้สึกแปลกๆ อยู่ 2 วัน หลังจากที่ต้นกลับมาไทยแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเวลามีเรื่องอะไรก็จะส่งอีเมลคุยกัน หรือแชตกันผ่านออนไลน์ คงเพราะติดต่อกันได้ตลอด ก็เลยไม่ได้คิดถึงกันมากนัก

สำหรับการทำงานบริษัทนั้น ผมเป็นคนขอพ่อมาดูโรงแรมเอง เพราะผมมีความชอบด้านศิลปะ แต่ก่อนเคยฝันว่าอยากจะเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน เลยมองว่าหากมาดูแลโรงแรม ก็คือเราได้ดูแลเรื่องการตกแต่งโรงแรม ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่ง ให้ดึงดูดลูกค้า มีแนวคิดโรงแรมแต่ละแห่งที่โดดเด่น