posttoday

ช็อปสบายกระเป๋า 3 ตลาดดัง

25 กรกฎาคม 2556

ยุคของแพง จะซื้อชิ้นไหน จะกินอะไร ควรคิดหน้าคิดหลัง (ให้ดี) คิดเยอะๆ เข้าไว้ ไม่ใช่ตระหนี่ขี้เหนียว แต่มันคือการรู้ค่าเงิน

โดย...โจนาธาน / ภาพ : ตลาดยิ่งเจริญ วิชช์ญะ ยุติ ตลาด อ.ต.ก./ตลาดบองมาร์เช่ เสกสรร โรจนะเมธากุล

ยุคของแพง จะซื้อชิ้นไหน จะกินอะไร ควรคิดหน้าคิดหลัง (ให้ดี) คิดเยอะๆ เข้าไว้ ไม่ใช่ตระหนี่ขี้เหนียว แต่มันคือการรู้ค่าเงิน เมื่อก่อน (อาจ) เคยพาแฟนไปกินของแพง ซูชิคำละร้อย ล็อบสเตอร์ตัวละพัน เดี๋ยวนี้น่ะเหรอ ก็ต้องหันมาจ่ายเบาๆ (แทน) จกข้าวเหนียว จิ้มส้มตำปลาร้า กินกะเพราไก่ไข่ดาว กระทั่งนิสัยชอบเดินช็อปในห้างหรูหรือซูเปอร์มาร์เก็ตหรู แต่ด้วยอยากเซฟเงินในกระเป๋าก็ต้องเปลี่ยนวิถีมาย่ำตลาดโอเพนแอร์ดู (บ้าง)

เช่นวันนี้นี่ไง ที่ฉันขอยอมลดดีกรีไฮโซลง (อิอิ) เพื่อสวมบทเป็นคนธรรมดา หาใช่ดาวมหาวิทยาลัย (นะเออ) ไปจับจ่ายข้าวของ ทั้งสด ทั้งแห้ง ตุนไว้ เอ ไม่ใช่สิ เก็บใส่ตู้เย็นไว้ ณ 3 ตลาดดัง จากสะพานใหม่ ดอนเมือง “ยิ่งเจริญ” แวบมาเยือน “บองมาร์เช่” ก่อนจะตบท้ายที่ “อ.ต.ก.” ภายใต้งบประมาณแบบสบายกระเป๋าและสวนกระแสของแพง ที่ละไม่เกิน 300 บาท

ตลาดยิ่งเจริญ

ของละลานตา ราคาถูกจริต

ตลาดใหญ่ของชาวสะพานใหม่ ดอนเมือง แรกที่เข้าไปก็งงๆ มึนๆ (จุงเบย) เล็กน้อย เพราะของเขาแยะ พอตั้งสติ หันซ้าย แลขวา เจอแม่ค้าก็ถามดะว่าอะไรอยู่ที่ไหน จึงร้องอ๋อ มันเป็นจังซี่นี่เอง

คนแน่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง อยากเจอความคึกคักก็ต้องไปตอนตี 45 ถ้าอยากเห็นเบื้องหลังการจัดแผง หรือแม้แต่ชำแหละหมูเป็นๆ ก็ต้องตอนเลิกผับ แวะไปได้ดูแน่ๆ

ที่นี่ก็เหมือนที่อื่น สายหน่อยคนก็บางตา แผงก็จะไม่ค่อยฟูลเท่าไร ฉันไปถึงตอนบ่ายๆ เดินสะดวกราวกับเดินอยู่ในตลาดส่วนตัว เพราะไม่ต้องแย่งและไม่ต้องแข่งกับใคร เดินเริ่ดๆ เชิดๆ จริงอยู่ ข้าวของสินค้าอาจจะดูน้อยไปนิด แต่สบายใจมร้ากกกกกก ที่สำคัญ งานนี้มันก็ประจวบเหมาะกับคอนเซปต์ ช็อปสบายกระเป๋า ไม่มีของ ก็แกล้งอำ (กับตัวเอง) ไปสิว่า ว้า!!! ของหมด (ซึ่งมันก็ไม่มีจริงๆ) มุขนี้ยืมไปใช้ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

ฉันเจอกับกองมะนาวราคาถูกราวกับจะแจกให้ฟรี 10 ลูก 15 บาท อะไรจะถูกปานนั้น ไม่เชื่อสายตา แต่มือน่ะคว้าหมับใส่ถุงเรียบร้อย (555) ถามแม่ค้า เธอว่า ก็มันถูก ก็เลยต้องขายถูก แต่หน้าแพง อย่าได้แหยม เธอย้ำ เคยขยับแตะลูกละ 10 บาท ก็ยังมี โอ้แม่เจ้า งั้นรีบหยิบใส่ถุงอีก 10 ลูก เบ็ดเสร็จ 30 บาท สบายใจ

ได้มะนาวแล้ว ขาดไม่ได้เพราะเป็นของคู่กัน พริกขี้หนู กิโลละเกือบร้อย จะซื้อดี ไม่ซื้อดี คิดตั้งหนึ่งนาที สายตาก็เหลือบไปเห็นพริกชี้ฟ้า กิโลละ 40 บาท แทนกันได้ หยวนๆ กันไป ยุคของแพง อะไรแทนได้ก็ต้องแทน (ยกเว้นแฟนนะจ๊ะ) เป็นวิธีเซฟเงินอย่างหนึ่งที่กูรูด้านการตลาดบอกไว้

แอบกระแซะไปถามแม่ค้าขายพริก ซื้อเป็นขีดขายมั้ย เธอว่า ขาย น่ารักอ่ะ ซื้อ 2 ขีด เกรงใจ ซื้อ 20 บาท ละกัน พลันสายตาก็หันไปเจอพริกแห้ง ราคาไม่ธรรมดาเชียว กิโลละเกือบ 200 บาท เจ้าของแผงบอกที่แพงเพราะหน้าฝน เข้าใจว่าของบางอย่างมันต้องอิงกับฤดูกาล

ไม่ไกลกันเป็นแผงเครื่องแกงพร้อมปรุง เขาจัดหน้าร้านได้อลังมากๆ อ่างเครื่องแกงใหญ่เบ้อเร่อ สีสันชวนซื้อ แต่ฉันก็ไม่ซื้อ เพราะไม่มีแพลนจะเปิดเตาทำกับข้าว ก็เลยต้องผ่านไปอย่างไม่ต้องเสียเงิน

บ่ายหน้าไปหาเขียงหมู ก่อนถึงเจอร้านขายข้าวสาร ไม่รอช้า ดิ่งเข้าไปหาคนขาย ข้าวเน่า ข้าวเจือสาร กระทบยอดขายมั้ย พ่อค้าทำหน้าเลิกลั่ก มีบ้างครับ แต่ไม่มาก เพราะข้าวของร้านเขาปลอดสารทุกชนิด เขายืนยันอย่างนั้น โอเค้!!!

เขียงหมูที่ฉันไปแวะเป็นเขียงใหญ่ประจำตลาด แผงชื่อ “หมูรำพึง” แม่ค้าน่ารัก อัธยาศัยดี คุยสนุก ยินดีให้ฉันแชะภาพตามสะดวก แม่ค้าหมูร้านนี้บอกราคาหมูแพงขึ้น 510 บาท จาก 120 บาท ก็มาอยู่ที่ 130 บาท ลูกค้าบ่น แต่ก็ยังต้องซื้อ “ร้านหนูไม่เกี่ยงว่าใครจะซื้อมากซื้อน้อย ซื้อไม่ถึงครึ่งกิโลก็ขายค่ะ แต่ตอนนี้คนที่เคยซื้อเยอะก็ซื้อน้อยลง หลายคนก็บ่นว่าทำไมหมูแพง หนูก็เข้าใจนะคะ แต่หนูก็อธิบายให้ลูกค้าฟังว่าต้นทุนมันขึ้น หนูก็เลยต้องขึ้น” แม่ค้าแผงหมูรำพึง บอก

อุดหนุนหมูที่แผงครึ่งกิโล 60 บาท แถมยิ้มกลับบ้านไปเป็นเข่ง ปลื้มใจจริงๆ เบ็ดเสร็จที่ตลาดยิ่งเจริญจ่ายไปเบาๆ แค่ 110 บาท เห็นมั้ยละเซฟกระเป๋าได้ตั้งเยอะ

ตลาดบองมาร์เช่

บรรยากาศใช่ ของดีน่าซื้อ

ขึ้นชื่อเป็นตลาดสดหรูหรา สะอาดสะอ้าน น่าเดินที่สุด คึกคักในวันหยุด อย่างวันที่ฉันมาก็เป็นวันหยุดยาว ฉันแวะไปหาของแซบกินก่อน ร้านส้มตำ “บ้านไม้” เจ้าของยืนรอต้อนรับ ระหว่างรอส้มตำกับไก่ย่าง ฉันก็ถามไถ่เจ้าของ เธอบอกคนเงียบตั้งแต่น้ำท่วม ไม่เยอะเหมือนช่วงที่ตลาดเปิดแรกๆ

“ยิ่งตอนนี้ยิ่งเงียบ ปกติวันหยุดจะคึกคักกว่านี้นะคะ เหมือนคนเก็บเงินไว้ ไม่ใช้เงินกันมากกว่า” เจ้าของร้านส้มตำ บอก

ของที่สั่งเสิร์ฟมาในจาน ส้มตำ 30 บาท ไก่ย่างครึ่งตัว 80 บาท ข้าวเหนียวไม่ต้อง เพราะจะกินส้มตำแกล้มไก่ย่างเท่านั้น เจ้าของบอกถึงราคาที่ฉันต้องจ่าย 110 บาท แล้วฉันก็ถามเธอต่อ ราคานี้มีขึ้นมั้ย เธอตอบ เคยขึ้นก่อนน้ำท่วม ตอนนี้ราคาเดิม

ท้องอิ่มแล้ว เหลือเงินไม่เยอะ แล้วก็ยังไม่ได้จ่ายซื้ออย่างอื่น เดินรอบๆ ตลาด แวะแผงนั่นนู่นนี่ ก็ไปเจอแผงเนื้อวัวเอสพีบี “พี่พิสิษฐ์ กล้าหาญ” ที่ขายเนื้อมาตั้งแต่ตลาดเปิดเห็นราคา สันใน สันนอก 160 บาท เกินงบที่มี แต่ฉันก็ไม่วายไปคุยกับเขา

“เนื้อแพงครับ แพงกว่าทุกปีเลยครับ ยอดตก แต่ทำไงเราค้าขาย ก็พยายามประคองร้านอยู่ให้ได้ ไม่ถึงขั้นว่าแย่ ก็คงต้องขายต่อ สงสารก็แต่ลูกค้า ก็เริ่มจะลดปริมาณซื้อลงแล้วล่ะ จากเดิม 3 กิโล ก็เหลือกิโลเดียว”

ฉันจากลาพ่อค้าแผงเนื้อด้วยความรู้สึกผิด เพระไม่ได้อุดหนุนเขาเลย ได้แต่ท่องไว้ในใจ เหลือเงินแค่ 190 บาท คิดเยี่ยงนี้ได้ก็มีความสุข

ที่นี่ผลไม้น่ากิน ส่วนใหญ่เป็นผลไม้นอก แต่เห็นราคาก็ได้บอกกับตัวเองว่าอดเปรี้ยวไว้วันหลัง ได้หม่ำแน่ๆ แอปเปิลลูกเดียวก็อาจจะทำเงินในกระเป๋าล่องหนได้ ฉะนั้น จงใช้มุข ว้า!!! ของหมด

อีกร้านที่แผงผักของ “พี่เอ๋” พริกขี้หนูสดน่าซื้อมากๆ ใส่ถุงเล็กๆ ฉันเลยถามพี่เอ๋ว่า ไม่ได้ขายเป็นกิโลเหรอ เธอบอกขาย แต่โดยมากจะแบ่งใส่ถุงขาย ง่ายและขายดีกว่า เพราะถ้าขายเป็นกิโลจะดูแพงเวอร์ ราคากิโลละ 170 บาท ถุงก็ไม่เกิน 30 บาท เป็นอีกกลยุทธ์เพิ่มยอดขายได้เหมือนกัน

“แพ็กเกจก็ช่วยได้นะคะ ยิ่งแพ็กเกจสวยๆ เก๋ๆ ก็ช่วยดึงลูกค้าได้เหมือนกันค่ะ อย่างผักร้านพี่ก็พยายามจะใช้แพ็กเกจที่ทันสมัยและแปลกกว่าคนอื่น” แม่ค้าผักเผยเคล็ดลับเรียกเงิน

ด้วยเหลือเยอะและเพื่อสะดวก ฉันเลยตัดสินใจว่าจะไม่ซื้อของสด แต่จะเปลี่ยนไปซื้อกับข้าวสำเร็จรูปแทน ซื้อไปก็หม่ำได้ทันใจเลย ข้าวแกงที่ตักขายที่ตลาดบองมาร์เช่ เริ่มต้นที่ 50 บาทต่อถุง และจะขยับมากขึ้นตามแต่ชนิดของกับข้าวและวัตถุดิบ ประเภทเนื้อวัวก็เริ่มต้นแพงหน่อย ถุงละ 80 บาท ฉันเลือกเขียวหวานเนื้อกับคั่วกลิ้งหมูอย่างละถุง รวม 130 บาท ที่เหลือก็จัดการกับข้าวยำราคาถูก ชุดละ 30 บาท เบ็ดเสร็จหมดเงินไปตลาดแห่งนี้ 270 บาท

ตลาด อ.ต.ก.

ของคัดสรร เพื่อขาช็อปตัวยง

หนึ่งแหล่งช็อปที่อยู่คู่ขาช็อปมานาน เล่าขานว่าอยากได้ของดีของคัดต้องมา อ.ต.ก. มิผิดหวังกลับไปแน่ ฉันเองก็ไปแวะตลาดนี้บ่อยๆ แวะฝากท้องก่อนไปเดินชิล ชิล ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร เพราะของกินเยอะจัด แล้วเขาก็จัดเต็มชุดใหญ่ให้อิ่มแปล้ มีสารพัดอย่างให้เลือกลิ้ม

ยิ่งเฉพาะผลไม้ ที่นี่แหละที่รวมของดีจากสวนทั่วฟ้าเมืองไทย ถ้าเปรียบเป็นเวทีเดอะสตาร์ เหล่านักล่าฝันก็จะมารวมกันที่นี่ ขึ้นโชว์หน้าสลอนสวยๆ หล่อๆ หน้าแผง ลูกค้าเห็นก็อยากลิ้ม ชิมแล้วก็โหวตคะแนนให้ ใครจะได้ไปต่อ หรือใครจะไม่ได้ไปต่อ อยู่ที่กรรมการหรือลูกค้าจริงๆ

เดินเก๋ๆ ไปหนึ่งรอบ อีกรอบก็แวะแผงผลไม้ “พี่น้อย” แม่ค้าใจดีแผง “พรหมภัสสร” ใครว่าแม่ค้า อ.ต.ก.หยิ่งเห็นจะไม่จริง แต่ละคนพร้อมบริการ พี่น้อยก็หนึ่งรายที่เป็นมิตร แถมยังพรีเซนต์ทุเรียนก้านยาวกับหมอนทอง กิโลละ 8001,000 บาท กันสุดฤทธิ์ เห็นราคาฉันแทบผวา ทำไมแพงอย่างนั้นละพี่น้อย แม่ค้าพูดสั้นๆ มันเป็นราคาทุเรียนคัดเกรด สายตาฉันเหลือบไปมองมังคุดจากหลังสวน ราคาพอรับไหว ไม่เกินร้อย กินไหว เงินในกระเป๋ายังไม่หายวับ

จากแผงผลไม้ ฉันเดินอ้อมไปทางแผงของสด ปะหน้ากับ “เจ๊พูนศรี” แห่ง “หนวดค้าเนื้อ” เจ๊นี่มาดคุณนายมากๆ สังเกตจากเจ๊ตีโป่งจัดทรงผมมาขายเนื้อ คุยกับเจ๊แล้วก็ยังไม่รู้ว่าคุณนายตัวจริงหรือไม่ คุยไปคุยมาเจ๊ก็เล่าให้ฟังว่า ยอดขายตกค่ะช่วงนี้ ครึ่งต่อครึ่งเลย จะด้วยคนกินมังสวิรัติมากขึ้นหรือราคาเนื้อแพงกว่าเดิม อันนี้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เจ๊วิเคราะห์เป็นฉากๆ

ฉันตบกระเป๋ากางเกง เงิน 300 บาท ยังอยู่ครบ แต่พลันสายตาไปหยุดที่ป้ายบอกราคา สันใน 400 บาท 350 บาท อุๆๆๆ วันนี้ขอบายนะเจ๊ อย่าว่ากัน วันหลังได้โบนัส เงินเดือนขึ้น หรือถูกลอตเตอรี่ ฉันจะรีบไปหาชัวร์

อ.ต.ก.มาที่เดียวก็คุ้ม ผักก็มี ราคาสูสีกับซูเปอร์มาร์เก็ตหรู แต่บางอย่างก็ไม่ไหว มะนาวลูกละ 7 บาท เหอะๆๆๆ ฉันก็แค่บ่นดังๆ แค่นั้น ไม่มีวาระใดซ่อนเร้น เพราะยังไงฉันถือว่าโชคดีสุดๆ ที่ซื้อมะนาวจากตลาดยิ่งเจริญมาเก็บไว้ตั้ง 20 ลูก แต่จ่ายไปแค่ 30 บาท

ต่อมความหิวชักทำงาน เดินผ่านแผงข้าวแกงช่างน่าหม่ำเหลือเกิน ข้าวแกง อ.ต.ก.หม้อโตๆ ตั้งเรียง มีให้เลือกไม่อั้น ซื้อเทกโฮมกลับมาก็ถุงละ 50 บาท นี่แค่เริ่มต้น ถ้าเกิดอยากให้แม่ค้าตักถุงละ 100 บาท ก็ยังไหว ตามสะดวกและตามเงินในกระเป๋าของคุณไง

สำหรับฉัน ยุคของแพง ฉันยอมตัดใจจากอาหารทะเล ยิ่งทะเลเผาที่ฉันเดินผ่านมันยั่วน้ำลายดีแท้หนอ แต่ขอไว้ก่อน ขอเลือกหมูสะเต๊ะดีกว่า (คริคริ) 10 ไม้ 50 บาท ต่อด้วยหมูปิ้งไม้ละ 10 บาท อีก 5 ไม้ อิ่มแล้วแค่นี้ ถ้าไม่อิ่มก็ต้องใช้หมูย่าง หนังกรอบเนื้อนุ่ม 3 ขีด 100 บาท เป็นตัวช่วย

อิ่มมร้ากกกกกกก ระหว่างรอบรรดาหมูๆ ย่อย ฉันก็เดินอ้อมไปด้านหลัง ไปคุยกับ“ป้าจำเนียร”แผงข้าวสาร“นครสวรรค์ค้าขาย”ป้าน่ารัก คุยกันถูกคอ ป้าบอกข่าวข้าวเน่า ข้าวบูด ข้าวเปื้อนสารเคมี ไม่กระทบ เพราะป้าไม่หมกเม็ด คัดแต่ข้าวดีมานำเสนอลูกค้า แถมลูกค้าป้าก็เป็นขาประจำ ซื้อขายกันมานาน รักกันเหนียวแน่น ประมาณมองตารู้ใจว่าอะไร ยังไง

“ข้าวป้าจะมาจากแถวอีสานกับเหนือ คัดเกรดค่ะ ต้องกรดเอ ไม่เอป้าก็ไม่เอามาขาย เพราะป้ารู้ว่าลูกค้าของป้าต้องเกรดเอเท่านั้น ส่วนราคาตอนนี้ก็ปกติค่ะ ยังไม่ขึ้น”

สรุป ค่าเสียหายที่ฉันช็อป อ.ต.ก.เบ็ดเสร็จก็200บาท เหลือ100บาท ขอสับปะรดภูแลล้างปาก ถุงละ50บาท ก็เป็นอันแฮปปี้