posttoday

ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่น ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง

17 กรกฎาคม 2556

ถ้าไม่พูดถึงพระเอกหนุ่ม (ที่ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังดูสดใสร่าเริงไม่มีเปลี่ยนแปลง) อย่าง “แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง” คุณหลวงมากเมีย จากละครเรื่อง “เรือนเสน่หา”

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

ถ้าไม่พูดถึงพระเอกหนุ่ม (ที่ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังดูสดใสร่าเริงไม่มีเปลี่ยนแปลง) อย่าง “แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง” คุณหลวงมากเมีย จากละครเรื่อง “เรือนเสน่หา” ที่เพิ่งจะอวสานไปเมื่อ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา เห็นจะไม่ได้ เพราะละครดราม่าพีเรียดเรื่องนี้เข้มข้นเสียจนคนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง (ไม่แพ้ละครคุณชายทั้ง 5 กันเลยทีเดียวเชียว) แถมเขายังมีเพลงฮิตติดอันดับอย่างเพลง “หูทวนลม” และเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ แซท เพย์ ทีวี อีกต่างหาก ทำให้ปีนี้เป็นปีที่เราจะลืมพูดถึงพระเอกนักร้องที่อยู่ยงคงกระพันคนนี้ไม่ได้ซะแล้ว

“ถ้าถามถึงละครเรือนเสน่หาที่เพิ่งจบไป ผมดีใจมากครับที่ละครเรื่องนี้โด่งดังมาก มีคนพูดถึงมากมายจริงๆ ติดตามชมกันทุกจังหวัดเลย เวลาที่ผมไปทัวร์ร้องเพลงตามต่างจังหวัด ก็จะมีคนวิ่งเข้ามาหาเรียกคุณหลวงๆ กันเต็มไปหมด ทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่าละครเรื่องนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจทุกคนเป็นอย่างมาก ผมไม่ได้เล่นละครมานานแล้ว และทุกคนก็บ่นคิดถึง พอเรากลับมาเล่นเรื่องนี้ แล้วทุกคนชอบและสนุก มีความสุขไปกับละครที่เราเล่น มันก็ชื่นใจ ตอนถ่ายทำมันลำบากมากๆ ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่พอทุกคนชื่นชม กำลังกายกำลังใจที่เราทุ่มเทไปมันก็ไม่ได้เสียเปล่า มันหายเหนื่อยเลย และยิ่งทำให้เพิ่มดีกรีความตั้งใจ มีพลังที่จะแสดงละครเรื่องต่อๆ ไปมากยิ่งขึ้นไปอีก”

จากเด็กวัยรุ่นที่เรียนนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่เข้าไปฝึกงาน ณ สยามสตูดิโอ รุ่นพี่มีอะไรให้เขาทำ เขาก็ทำหมด ทั้งเสื้อผ้า ตากล้อง จัดไฟ เรียกได้ว่าที่ทำก็เพื่อเผื่อรุ่นพี่เห็นใจ เมื่อเรียนจบแล้ว จะได้รับเขาเข้าทำงาน

“แต่ผมก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเมื่อรับงานโฆษณาของธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วผู้กำกับทำสตอรี่บอร์ดมาแล้วนึกถึงผม ผู้กำกับก็เรียกผมให้เขาไปเทสต์หน้ากล้องดู ด้วยการผลักดันของบริษัท สยามสตูดิโอ ด้วยแหละครับ ผมเลยได้รับเลือกเป็นนักแสดงของโฆษณาชิ้นนี้”

จากเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ เมื่อถูกจับแต่งหล่อ ก็ทำให้ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา

“หนังโฆษณาเรื่องนี้สวยด้วยแหละครับ ทั้งมุมกล้อง ทั้งตัดต่อ พอออนแอร์ ทุกคนก็ตะลึงกับภาพที่เท่ สวย ผมก็เลยเป็นที่รู้จักไปด้วย”

หลังจากมีโฆษณา ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับโอกาสให้ไปเทสต์หน้ากล้องทั้งหนังทั้งละครในเวลาเดียวกัน แต่ละครได้ออกอากาศก่อน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของประชาชน จากละครซิตคอมเรื่อง “สามหนุ่มสามมุม”

“หลังจากนั้นภาพยนตร์เรื่อง กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้ ที่ถ่ายทำพร้อมกัน ก็ฉายตามมา ซึ่งหลังจากที่คนได้ดูกัน ผมก็เริ่มมีแฟนคลับที่ติดตามกรี๊ดกร๊าด เพราะกระแสหนังมันดีมาก ถ้าเทียบยุคสมัยนี้ก็ไม่แพ้พี่มาก มาริโอ้ เลยนะ (หัวเราะ)”

หลังจากมีภาพยนตร์โฆษณา ซิตคอม และภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาโด่งดังชั่วพริบตาแล้ว ศักดิ์สิทธิ์คิดเพียงแค่ว่า จบงานเหล่านี้แล้วเขาคงกลับไปใช้ชีวิตปกติธรรมดา ตามล่าหางานประจำทำต่อไป แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อฟ้าดินกำหนดให้เขาได้เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว เขาก็ต้องเดินทางเข้ามาเพื่อสร้างความสุขให้กับประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้

“ผมก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันครับว่าชีวิตของผมจะมาไกล ไกลออกไปเรื่อยๆ หลังจากที่กลิ้งไว้ก่อนฯ โด่งดังพอควร ผมก็มีละครเรื่อง รักในรอยแค้น เล่นคู่กับ นุสบา เป็นละครดราม่าเข้มข้นที่คนพูดถึงกันเยอะมาก หลังจากนั้นก็มีละครเรื่อง เพื่อเธอ เล่นคู่กับ แหม่ม คัทลียา ละครออกมาคนก็ติดตามกันมาก ต่อมาผมก็มีละครเรื่อง หยุดตะวันไว้ที่ปลายฟ้า ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จมาก จนหายไปพักหนึ่งก็มีละครเรื่อง หงส์เหนือมังกร เล่นคู่กับ มาช่า ต่อมาก็เรื่อง ตะวันตัดบูรพา เล่นคู่กับ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จทั้งสองเรื่อง จนมาถึง บางรักซอยเก้า เป็นซิตคอม ที่อยู่มายาวนาน 9 ปี ซึ่งที่เล่ามาเสียยืดยาว เพียงเพื่อจะบอกว่าชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงของผมมันมีจุดสูงสุดของมัน และมันก็ทำให้ผมเป็นผมได้จนทุกวันนี้”

ไม่พูดถึงเรื่องความรัก คงจะกระไรอยู่ ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มก่อนตอบว่า ชีวิตผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาว จนเข้ามาอยู่ย่านหลักสี่ และเตรียมตัวจะย้ายไปอยู่ย่านพระราม 5 เขาค้นพบว่า วิชาความรักของเขา ถ้าให้เกรด คงเป็นเกรดที่ “ติด ร.” รอลงหน่วยกิตซ่อมแซม

“ประชาชนคงอยากรู้ว่าเจ้าสาวของผมจะเป็นใคร ไอ้แท่งมันจะลงเอยในเรื่องความรักได้เมื่อไร ผมคิดว่าผมเลยจุดนั้นมาแล้ว อยู่คนเดียวได้สบายๆ แอบหลุดพ้นความเหงามาได้แล้วนะ ความเหงาอาจจะมี แต่ผมจัดการกับความเหงาได้ ผมเชื่อว่าผมอยู่ได้ จัดการชีวิตตัวเองได้ ทุกวันนี้ผมสร้างอาณาจักรสนามฟุตบอลให้ตัวเอง เพื่อนๆ จะมาหาผมเอง มาเตะบอลที่บ้านผม วันไหนเบื่อๆ ก็ไปตีกอล์ฟกับก๊วนกอล์ฟ ผมว่าผมอยู่กับเพื่อนมันสนุกจริงๆ สุขภาพจิตดีนะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากวนใจให้จิตตก เวลาจีบหญิง จีบๆ ไปจิตใจตก เครียด กังวล ไม่สนุกเหมือนอยู่กับเพื่อน สงสัยเป็นเพราะเพื่อนไม่เคยว่าเรา เวลาเรามาๆ หายๆ (หัวเราะ)”

ศักดิ์สิทธิ์เผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ความสุขที่เขาค้นพบ ไม่จำเป็นต้องเป็นความสุขจากการมีคู่ก็ได้ เส้นทางสู่ความสุขมันมีได้หลายเส้นทาง และเส้นทางของการเป็นกัปตันทีมแมงปอล้อคลื่นที่อยู่ยงคงกระพันมาได้ 20 ปีแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งความสุขของเขาที่เขาภาคภูมิใจ

“จุดเริ่มต้นของแมงปอล้อคลื่น เริ่มต้นตอนที่ผมย้ายบ้านมาอยู่ในซอยที่มีสนามฟุตบอลกลางเมือง ผมเห็น ผมก็ไปขอเขาเล่น พอเล่นเสร็จ ก็รู้สึกดี เหงื่อออก ได้วิ่ง ได้มีสังคม พอดีพี่เจ้าของสนามบอกว่ารวมทีมดารามาแข่งกันในงานที่เขาจัดหน่อยได้มั้ย ผมเห็นว่าเข้าท่าดี เลยตอบตกลง แถมตามเพื่อนๆ ในวงการมาร่วมลงแข่งขันด้วย พอแข่งเสร็จ รู้สึกว่าเวิร์กนะ มันติดใจ แล้วก็มีงานการกุศลติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ช่วยกันหาเงินทำบุญ ซึ่งเราก็ยินดีไปทั่วประเทศ มาจนถึงทุกวันนี้มีแมงปอล้อคลื่นมาหลายรุ่น แต่ละรุ่นทุกคนก็ทำกันด้วยใจครับ” หากศักดิ์สิทธิ์กับแมงปอล้อคลื่นคือของคู่กัน มันคงเป็นคู่ที่แยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าจะกี่วันกี่เดือนกี่ปีผ่านไป

“ผมได้อะไรจากแมงปอล้อคลื่นเยอะมาก แมงปอล้อคลื่นทำให้ผมเปิดโลกกว้างมากขึ้น ทำให้ผมกล้าพบผู้คน เมื่อก่อนผมเป็นดาราที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่อยากให้คนรู้ว่าผมเป็นดารากลัวคนมอง พอผมได้เล่นกีฬา ได้ไปเตะฟุตบอล ได้ไปตามที่ต่างๆ ทำให้ผมสื่อสารเป็น อยู่กับคนอื่นได้ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น ยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ผมว่ากีฬาเป็นอีกศาสนาหนึ่งที่สอนให้ผมเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดี ทำให้ผมตกตะกอนชีวิต ทำให้เราอยากให้คนอื่นมีความสุข ไม่ได้อยากจะได้มาเพียงอย่างเดียว เพราะเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว เรายังอยู่ร่วมกับคนอื่น ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมตระหนักอยู่ตลอดเวลาครับ”

เล็กๆ น้อยๆ ของ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง

1.เด็กชายศักดิ์สิทธิ์ เป็นเด็กเรียบร้อย มีบ้านเดิมอยู่ที่กรุงเทพฯ ตรงสุขุมวิท 101 แต่ต้องย้ายตามคุณพ่อซึ่งมีอาชีพรับราชการ ทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อุดรธานี น่าน และอีกหลายที่ ทำให้เขาเป็นผึ้งน้อยพเนจรที่ได้รับวัฒนธรรมอันหลากหลาย แต่ต้องแลกมาด้วยการไม่มีเพื่อน

2.ศักดิ์สิทธิ์รับบทเป็น “โอฬาร หรือ หมี ณ หินกลิ้ง” ในภาพยนตร์เรื่อง กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้ กำกับโดย “คิงสมจริง ศรีสุภาพ” และรับบทเป็น “ทศพล” พี่ชายคนกลาง ในละครซิตคอมเรื่อง 3 หนุ่ม 3 มุม ซึ่งอยู่มาอย่างยาวนานถึง 8 ปี และเล่นละครซิตคอมเรื่อง บางรักซอยเก้า ต่อมาอีก 9 ปี

3.ศักดิ์สิทธิ์ได้รวมตัวตั้งทีมฟุตบอลชื่อว่า แมงปอล้อคลื่น โดยเริ่มเตะฟุตบอลเพื่อการกุศลอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อปี พ.ศ. 2538 ต่อมาทีมฟุตบอลทีมนี้ก็ได้ตระเวนเตะหารายได้เพื่อการกุศลทั่วประเทศมาจนทุกวันนี้