posttoday

คิดถึงเชียงแสนแดนสวรรค์

09 มิถุนายน 2556

ปีก่อนโน้น ผมมาเที่ยว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นครั้งแรก แต่มาแบบงงๆ เพราะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางที่วางไว้ในโปรแกรมลาพักร้อน

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล


ปีก่อนโน้น ผมมาเที่ยว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นครั้งแรก แต่มาแบบงงๆ เพราะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางที่วางไว้ในโปรแกรมลาพักร้อน

ทว่า 5 วันของการพักค้างแรม สรุปได้ว่านี่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่สงบน่าอยู่ที่สุดของไทย

น่าเสียดาย ครั้งนั้นลืมพกกล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วย ความประทับใจไม่ว่าทิวทัศน์สุดโรแมนติกริมแม่น้ำโขง อาหารพื้นเมืองอร่อยเลิศรส ผู้คนน่ารัก วัดวาอารามเก่าแก่อายุร้อยปี ทั้งหมดกลายเป็นเพียงเศษซากความทรงจำอันเลือนราง

วันนี้ ผมกลับมาแก้ตัวอีกครั้ง พร้อมคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองว่าจะเที่ยวถ่ายภาพให้กระจุยไปเลย

เชียงแสนยังคงโรแมนติกไม่ว่าจะฤดูไหน กลางวันร้อนจนแสบผิว กลางคืนเย็นยะเยือก ความเงียบสงบ เนิบช้า ไม่แออัดวุ่นวายตามประสาชนบท ยังเป็นจุดเด่นที่อ้าแขนต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนอยู่เสมอ

มาถึงก็ขับรถขึ้นไปไหว้สักการะพระธาตุผาเงาและพระธาตุจอมกิตติเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูง มองลงมาเห็นวิวของเมืองเชียงแสนเต็มตา แม่น้ำโขงสายใหญ่ทอดยาวคดเคี้ยว แผ่นดินฝั่งตรงข้ามที่เห็นลิบๆ คือฝั่งประเทศลาวอันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้เขียวครึ้ม

ลงเขาเข้าเมือง แวะเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน เรียนรู้รากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาท้องถิ่น ได้เห็นโบราณวัตถุอันสะท้อนให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตการทำมาหากิน อาทิ ลวดลายปูนปั้นล้านนา พระพุทธรูป ศิลาจารึกจากเชียงแสน การอพยพและตั้งถิ่นฐานของชุมชน งานศิลปะพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆ ทั้งเครื่องเขิน เครื่องดนตรี เครื่องประดับ อุปกรณ์จับปลา

นักท่องเที่ยวน้อยเดินดูเพลินๆ ไม่นานก็ครบรอบ จากนั้นแวะไปไหว้พระธาตุเจดีย์หลวงและวัดป่าสักที่อยู่ใกล้กัน ละแวกนั้นก็จะเห็นซากปรักหักพังของกำแพงอิฐสีแดง อันเป็นกำแพงเมืองเก่า บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในอดีต

เอกลักษณ์ของคนเชียงแสนที่เห็นได้ชัด คือ ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นการเดินทางหลักในชีวิตประจำวัน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่กระจัดกระจายเขียวครึ้มไปทั้งเมือง

เลาะเลียบไปทางริมโขง จอดชิมขนมจีนน้ำแจ่วร้านแม่จินดา ร้านดังเมืองเชียงแสน รสชาติไม่เลว ต่อด้วยชมวิว ณ เวิ้งแผ่นดินที่เรียกขานกันว่าสามเหลี่ยมทองคำ พื้นที่รอยต่อรูปสามเหลี่ยมบรรจบกันระหว่างสามประเทศ ได้แก่ ไทย (เชียงราย) ลาว (แขวงบ่อแก้ว) และพม่า (แขวงท่าขี้เหล็ก, รัฐฉาน)

สมัยเด็กๆ ได้ยินชื่อสามเหลี่ยมทองคำ ผมนึกถึงทหารถือปืนเอ็ม 16 ไล่ล่าปราบปรามกับขบวนการค้ายา ซึ่งเป็นกลุ่มชาวเขาที่หลบหนีเล็ดลอดมาจากชายแดน รับรู้จากข่าวทีวีว่านี่คือแหล่งผลิตเฮโรอีนที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่นาทีนี้ สองตาเห็นแต่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักเดินทางทั้งฝรั่ง ไทย จีน แห่มากันคึกคัก ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านขายใบชาคุณภาพดีผุดขึ้นแน่นขนัด เรือสินค้าใหญ่จอดเรียงรายอยู่ริมตลิ่ง สะท้อนถึงความเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของเมืองชายแดน

จากนั้นเราไปยังสถานที่ที่เรียกได้ว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ หอฝิ่น เสียเงินตีตั๋วแค่คนละ 150 บาท แต่คุณจะได้ความรู้ ความประทับใจแบบที่ติดตาติดใจไปอีกนาน ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ออกแบบมาได้ดีมาก ครบถ้วนลงตัวทุกองค์ประกอบ ทั้งส่วนนิทรรศการ แสง สี เสียง ฉายภาพเรื่องราวของพืชชื่อฝิ่น หรือป๊อปปี้ในภาษาอังกฤษ ดอกสวยจับใจ นิยมสกัดเป็นยามอร์ฟีนรักษาอาการเจ็บปวด เป็นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติยิ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง มันกลับกลายเป็นยาเสพติดที่ทำลายมนุษย์ ทำลายสังคมได้อย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าอาวุธนิวเคลียร์

กว่าสองชั่วโมงที่ยืนแหงนคออ่านเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับฝิ่นในบริบทต่างๆ มีหุ่นขี้ผึ้ง มีเสียงบรรยายประกอบ คลอเคล้าดนตรีสร้างบรรยากาศ วิดีโอสารคดีให้ความรู้ ภาพถ่ายหาดูยาก จำลองห้องสูบฝิ่น จนถึงข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์การเสพฝิ่นเยอะแยะมากมาย คุ้มค่าคุ้มราคาเหลือเกิน

แดดคลายเร่าร้อน ค่อยบึ่งรถด้วยความเร็วชิล ชิล เปิดกระจกรับลมแม่น้ำให้สดชื่น แวะจิบกาแฟเย็นๆ แล้วเช็กอินที่ร้านสถานีริมโขง พลางเหม่อมองสายน้ำโขงอันสงบนิ่ง จ้างรถม้าวิ่งกุบกับๆ ชมเมือง ผ่านตลาดสด ผ่านวัด ผ่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ทุกคนยิ้มแย้มใจดีสมคำร่ำลือว่าคนเชียงแสนน่ารัก

อย่าลืมเด็ดขาด ก่อนมืดค่ำแนะนำให้ไปนั่งรับประทานอาหารบริเวณหน้าที่ทำการอำเภอเชียงแสน รถเข็นขายอาหารรสเลิศจำพวกปลาแม่น้ำ ลาบ ส้มตำ จิ้มจุ่ม จอดให้เลือกนับสิบเจ้า เปิบข้าวไป สูดอากาศบริสุทธิ์ไป พลางนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินริมแม่น้ำโขง

เท่านั้นก็เพียงพอให้มีกำลังใจสู้ชีวิตในวันข้างหน้า