posttoday

นิทานเรื่องที่ 2 ผู้หญิงกับคุกกี้

28 พฤษภาคม 2556

มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางออกจากบ้านเพื่อจะขึ้นรถไปทำงานแถวสยามพารากอน ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงป้ายรถเมล์

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางออกจากบ้านเพื่อจะขึ้นรถไปทำงานแถวสยามพารากอน ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงป้ายรถเมล์ ก็ได้ผ่านร้านสะดวกซื้อเล็กๆ แห่งหนึ่ง คล้ายๆ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เธอแวะที่ร้านนั้น แล้วซื้อคุกกี้มาถุงหนึ่ง แล้วไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ ขณะที่เธอนั่งอยู่นั้น เธอก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นนักธุรกิจใส่สูทผูกเนกไทกำลังนั่งรอรถเมล์อยู่เหมือนกัน นั่งไปสักพักหนึ่งเธอเห็นว่ารถเมล์น่าจะมาช้า จึงหยิบแล็ปท็อปของตัวเองขึ้นมานั่งทำงาน ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นก็หยิบไอแพดขึ้นมาทำงานด้วยเหมือนกัน ต่างคนต่างนั่งทำงานของตัวเอง นั่งชิดกันมาก

สักพักหนึ่งเธอก็สังเกตเห็นผู้ชายที่นั่งติดกันเอามือล้วงมาตรงช่องว่างระหว่างเขากับเธอ ชายคนนั้นล้วงเข้าไปในถุงคุกกี้ หยิบคุกกี้ใส่ปาก เธอมอง “อ้าว นี่มันคุกกี้ของฉันนี่” เขาหยิบใส่ปากของเขาเองได้อย่างไร ผู้ชายคนนั้นก็ทำหน้าไม่เข้าใจ ทำไมผู้หญิงคนนี้มองเรา ผู้หญิงคนนี้ก็คุกคามเขาด้วยสายตา เกิดอาการหวงคุกกี้

ระหว่างนั้นเธอก็นั่งพิมพ์งานไปด้วย ผู้ชายคนนั้นก็ทำงานของตัวเองไปด้วย ผ่านไปอีกอึดใจหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ก็ล้วงคุกกี้ เธอรีบหันมามอง คุกคามด้วยสายตา เขาก็ไม่หยุด ผู้ชายคนนั้นหยิบคุกกี้ใส่ปาก เคี้ยวอย่างมีความสุข แล้วก็ฟังเพลงผ่านหูฟังไปด้วย เธอก็ทำงานไป เขาก็ทำงานไป แล้วเธอก็เอามือซ้ายล้วงไปที่ถุงคุกกี้ ชนกับมือของผู้ชายคนนั้นพอดี ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่เลิก เขาก็ยังมองเธอ เธอก็มองเขา เธอก็คิดว่า “ทำไมคุณมากินคุกกี้ของฉัน” ส่วนผู้ชายคนนั้นก็คงคิดในใจว่า “ทำไมคุณมาหยิบคุกกี้ในถุงเดียวกับผม”

ต่างคนต่างมองกันและกัน แต่ผู้หญิงคนนี้หนักกว่า เธอโกรธขึ้นมาตงิดๆ “เจ้าหมอนี่ทำไมมันไม่ไปซื้อมากินเอง ไม่รู้จักเรา แต่หน้าไม่อายมาหยิบคุกกี้ถุงเดียวกับเรากิน คนเดี๋ยวนี้ไม่มีความละอายกันแล้วหรือ” เธอคิดในใจ

ต่อมาผู้ชายคนนั้นยังคงหยิบคุกกี้ข้างๆ เธอมากิน เธอก็ยังคงหยิบมากินด้วยความตะขิดตะขวงใจกันทั้งคู่ และในที่สุดก็เหลือคุกกี้ชิ้นสุดท้ายวางอยู่ในถุง ผู้หญิงคนนี้ก็คิดในใจว่า “จะลองดูสิว่าผู้ชายคนนี้จะมีความละอายแก่ใจไหม เหลือชิ้นสุดท้ายเขาจะยังหยิบกินอยู่ไหม” เธอมอง ผู้ชายคนนั้นหันมามอง และในที่สุดเขาก็ล้วงเข้าไปหยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายขึ้นมา แล้วก็แบ่งออกเป็นสองชิ้น ยื่นให้เธอครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งนั้นก็หยิบใส่ปากของตัวเองเคี้ยวตุ้ยๆ ผู้หญิงคนนี้ถอนหายใจ รู้สึกโกรธมาก เฮ้อ หมดแล้วคนดีของประเทศไทย ไม่เหลือแล้ว หมดศรัทธาในคนดี เพราะผู้ชายคนนี้หน้าตาดี แต่งตัวดี แต่ไม่มีความละอายแก่ใจ ไม่ยอมซื้อคุกกี้ แต่อาศัยกินคุกกี้ร่วมกันกับเธอจนชิ้นสุดท้าย แม้ว่าจะทำเป็นใจดีแบ่งให้เธอครึ่งหนึ่งก็ตาม

เธอปฏิเสธที่จะรับคุกกี้ชิ้นนั้น แต่รีบเก็บแล็ปท็อปลุกเดินออกไป ประจวบกับช่วงเวลานั้น รถเมล์ที่เธอต้องการขึ้นก็มาพอดี เธอรีบก้าวขึ้นรถเมล์ พร้อมกับหันมามองผู้ชายคนนั้นด้วยหางตา “เชอะ แต่งตัวดีเสียเปล่า หน้าไม่อาย” พอขึ้นไปนั่งบนรถเมล์ รถเมล์ก็เคลื่อนตัวออกไป เด็กกระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาหา จ่ายตังค์ด้วยครับพี่ เธอก็หยิบกระเป๋าของเธอซึ่งหนีบไว้ที่รักแร้ รูดซิปออกจะหยิบสตางค์ออกมาจ่าย แต่สิ่งแรกที่เธอเห็น คือ ถุงคุกกี้ที่เธอซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อนั้นนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าของเธอ เธอยังไม่ได้แกะมันออกมากินเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!

แล้วคุกกี้ที่เธอกินไปนั้นเป็นคุกกี้ของใคร คำตอบคือ ของผู้ชายคนนั้นนั่นเอง ส่วนของเธอยังไม่ได้แกะ เพราะทันทีที่เธอซื้อ เธอก็เอาใส่กระเป๋ารูดซิปปิด แล้วเธอก็ลืมไปเลย ตกลงที่เธอด่าผู้ชายคนนั้นว่า หน้าไม่อาย กินคุกกี้ถุงเดียวกับเธอ แท้ที่จริงเป็นคุกกี้ของเขาเอง เขากินของเขาเอง เธอเองต่างหากที่หน้าไม่อาย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอรู้สึกอายตัวเองมาก

ขอให้เราลองพิจารณาดู ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่มีความสุข เพราะเธอด่วนตัดสินคนอื่นในทางลบ มองคนอื่นว่ากำลังทำไม่ดี มองคนอื่นว่าเป็นคนไม่ดี อะไรๆ ก็ไม่ดีหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นทำมันไม่ดีหมด มันแย่หมด มันเลวหมด แล้วก็คิดว่าตัวเองดีอยู่คนเดียว หากเรามองคนอื่นแต่ในแง่ลบ เราจะหาคนคบแทบไม่ได้ หากเรามองคนอื่นแต่ในแง่ดี เราจะมีคนดีมากมายให้เลือกคบ ดังนั้น ถ้าเราอยากมีความสุข ให้คิดในเชิงบวก พูดในเชิงบวก ทำในเชิงบวก อย่าได้ไปตัดสินผู้อื่นว่าดีหรือไม่ดีง่ายๆ

หากเรามองคนอื่นแต่ในแง่ลบ

เราจะหาคนคบแทบไม่ได้

หากเรามองคนอื่นแต่ในแง่ดี

เราจะมีคนดีมากมายให้เลือกคบ