posttoday

ภูมิแพ้...เกิดตั้งแต่ในครรภ์

23 มีนาคม 2556

โรคภูมิแพ้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะอย่างเดียว ทว่ายังเกิดได้ตั้งแต่กระบวนการการดูแลครรภ์จากมารดา

โรคภูมิแพ้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะอย่างเดียว ทว่ายังเกิดได้ตั้งแต่กระบวนการการดูแลครรภ์จากมารดา

โดย...อลิษสา ทองขาว

โรคภูมิแพ้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่เป็นมลภาวะอย่างเดียว ทว่ายังเกิดได้ตั้งแต่กระบวนการการดูแลครรภ์จากมารดา นานาประเทศได้ให้ความสนใจและกำลังเร่งศึกษาการป้องกันโรคนี้ จนอาจกล่าวได้ว่า โรคภูมิแพ้กลายเป็นโรคระบาดของศตวรรษที่ 21 เนื่องจากมีอัตราประชากรที่เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น ในขณะที่อัตราประชากรเป็นโรคติดเชื้อมีจำนวนลดลง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม เนื่องจากมีวัคซีนป้องกันโรค สามารถฉีดป้องกันการเกิดโรคได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด

ในทางตรงกันข้ามกับโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ ยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคได้ มีเพียงวัคซีนที่ใช้ในการรักษาเท่านั้น

โรคภูมิแพ้ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมและการเจริญเติบโตของทารก จึงควรหาวิธีป้องกัน หรือลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของการตั้งครรภ์

ผลการวิจัยจากประเทศเยอรมนี โดย ศ.นพ.อุลริค วาห์น ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ระดับโลก พบว่า ในเยอรมนีประชากรที่อยู่ในพื้นที่เขตเมืองมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าประชากรที่อยู่ในพื้นที่ชนบท สารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ มลภาวะ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในสังคมเมือง

การศึกษาวิจัยแบบ Longitudinal Study หรือการวิจัยระยะยาว ตั้งแต่ปี 1990 นานกว่า 20 ปี พบว่า เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ เกิดจากการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งโรคชนิดนี้มี 4 ประเภท ได้แก่ เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคหอบหืด โรคผื่นแพ้ทางผิวหนัง และโรคแพ้อาหาร ซึ่งจะมีวิวัฒนาการตามลำดับตั้งแต่แรกเกิด

หากแม่มีพาหะหรือเป็นโรคภูมิแพ้ มีโอกาสที่ทารกจะเป็นโรคภูมิแพ้ถึงร้อยละ 25 ในขณะเดียวกันหากทั้งแม่และพ่อมีพาหะหรือเป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ทารกจะเป็นโรคภูมิแพ้มีถึงร้อยละ 40 และในกรณีที่แม่และพ่อเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดเดียวกัน ทารกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงร้อยละ 60

ในกรณีที่แม่รับประทานยาแก้แพ้ในขณะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ถึงคุณลักษณะของตัวยา เพราะยาแก้แพ้อาจส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ทำให้มีความผิดปกติทางร่างกายได้ นอกจากนี้จากการวิจัยเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 10 ขวบ ผ่านกระบวนการทางโภชนาการ พบว่า เด็กที่ดื่มนมวัวมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กที่ดื่มนมผงที่มีส่วนผสมของไฮโปอัลเลอเจอนิก (H.A.)

เนื่องจากนมผงที่มีส่วนผสมของ H.A. มีโปรตีน เวย์ 100% ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยลดการเกิดโรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ จึงไม่ควรให้นมวัวแก่ทารกแรกเกิด เนื่องจากสารอาหารที่ป้อนให้ทารกตั้งแต่แรกเกิดจะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กไปจนถึงอายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญในการดูแลหลักโภชนาการให้แก่เด็ก

ทั้งนี้ ในปัจจุบันการป้องกันโรคภูมิแพ้สามารถดูแลได้ด้วยหลักโภชนาการ 3 หลักสำคัญ คือ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด และหากนมแม่ไม่เพียงพอสามารถให้นมผงที่มีส่วนผสมของ H.A. และมารดาควรงดเว้นการสูบบุหรี่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันอันตรายจากสารนิโคตินที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ อีกทั้งมารดายังจะต้องรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย

นอกจากนี้ ในการศึกษายังพบอีกว่า ความเข้าใจที่ว่าการมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดี มีร่างกายแข็งแรงถือเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการเลี้ยงสัตว์ในบ้านเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้กระตุ้นอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องให้แสดงออกมากยิ่งขึ้น

จึงแนะนำให้เลี้ยงสัตว์นอกบ้านจนกระทั่งเด็กอายุครบ 10 ขวบ เพราะเป็นช่วงอายุที่มีภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรงแล้ว

ในเยอรมนีและอีกหลายประเทศทั่วโลก ได้เร่งทำการศึกษาวิจัยโรคภูมิแพ้ โดยมีรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร หน่วยงานด้านสาธารณสุขในประเทศไทยก็ควรให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

 

&<2288;