posttoday

ลำบากก่อน...สบายทีหลัง “ทัชชล พัฒนเสรี”

14 กุมภาพันธ์ 2556

หนุ่มวัย 33 คนนี้ประสบความสำเร็จท่ามกลางหัวใจที่ไม่เคยแข่งขัน ลุยเอง คิดเอง ทำเอง อินดี้ และสันโดษ

โดย...ณัฐพล ช่วงประยูร / ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

หนุ่มวัย 33 คนนี้ประสบความสำเร็จท่ามกลางหัวใจที่ไม่เคยแข่งขัน ลุยเอง คิดเอง ทำเอง อินดี้ และสันโดษ

ชัยทัชชล พัฒนเสรี อดีตเซลส์ประจำออฟฟิศ ออกมาลุยทำเครื่องสำอางแบรนด์เล็กๆ กระทั่งกลายเป็นเจ้าของศูนย์ความงามครบวงจร 3 สาขา ชื่อ “บิวทิส” ถ้าคุณไม่รู้จักก็คงไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้พีอาร์ โฆษณากลาดเกลื่อน ทำแบบไม่แข่งกับใคร เต็มที่กับตัวเอง

“ตั้งแต่เด็กจนโตอยากเป็นนักธุรกิจครับ ด้วยเพราะความคิดเราไม่เหมือนใคร อยากทำกิจการส่วนตัวแต่แรกเลย จริงๆ ชีวิตเริ่มจากการไปเป็นพนักงานประจำก่อน คิดว่าวันหนึ่งเราต้องไปเปิดเป็นธุรกิจส่วนตัว มีร้านของเราร้านหนึ่ง ต่อไปก็ขยายสาขา แล้วจะดีถ้าขยายโดยไม่ต้องลงทุน ฉะนั้นเรามีสินค้าตัวหนึ่งเราก็ขายทั่วประเทศ

ตอนแรกเราก็บริหารจัดการ คุมคนอื่น และไปทำงานออฟฟิศ สมัครเป็นเซลส์ มันก็ตอบโจทย์ แต่พอทำได้ 1 ปี เรียนรู้ทุกอย่าง แล้วกลับมามีสินค้าเป็นของตัวเอง ทุกอย่างนำพาไปตามโอกาส และการพบเจอพูดคุยกับคนโน้นคนนี้ เขาแนะนำและมีแนวทาง เราอยากทำแน่นอน

ตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งชวนเราทำ ผมก็ตีโจทย์ ร่างแผนการตลาดตอนนั้นเลย อีกวันเริ่มเลย ก็เริ่มจากไม่กี่หมื่น ได้มาเป็นเครื่องสำอาง ภายใต้ชื่อแบรนด์ “แพลทินัม” มันเป็นโลโก้แบรนด์ ตอนนั้นเราต้องยุ่งยากกับการทำการตลาดมากครับ เพราะปกติคนไทยนิยม อินเตอร์แบรนด์ แต่ผมก็ทำจนเรามีสาขาในประเทศไทย 100 กว่าแห่งทั่วประเทศ เป็นจุดจำหน่ายให้กับเรา ทั้งร้านขายเครื่องสำอาง ร้านค้าทั่วไป ห้างสรรพสินค้าในชุมชน

เราได้โรงงานมาตรฐานผลิตให้ เพราะเขามีใบอนุญาตอยู่แล้ว ยอมลงทุนและทำมันออกมา ได้ผลตอบรับดี บอกต่อ บอกเป็นสายๆ ของตัวแทนจำหน่ายกันเอง เราเลยมีตัวแทนทั่วประเทศ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนหน้าร้าน อันนี้เลยตอบโจทย์ที่เราตั้งไว้ กลุ่มลูกค้าตอนนั้นคือ แม่บ้าน คนทำงาน และกลุ่มนักศึกษาครับ ถือว่าสินค้ามาได้เร็วและแรง เพราะแบรนด์อื่นเขาแยกเซ็กชันว่า ลดริ้วรอย ช่วยกระจ่างใส กระ ฝ้า ใช้เช้าเย็น ทากันแดด หรือใช้ล้างหน้า มันเยอะมาก แต่ของเราเป็น ออล อิน วัน คนเลยตอบรับดีมาก” ชัย เล่าอย่างภาคภูมิในความเพียรพยายาม ที่สำคัญอดีตครานั้นเขาไม่แข่งกับใคร บริหารด้วยใจอินดี้

“ทุกอย่างขอให้เรามีความตั้งใจและคิดว่าดีที่สุด จากนั้นพอผมมีเงินทุนตั้งต้นเริ่มจากที่เราทำเครื่องสำอาง แล้วก็มาทำคลินิกความงาม “บิวทิส” ต่อ เพราะนานเข้าเราคิดว่าเครื่องสำอางต้องวิ่งสู้อยู่ตลอดเวลา เป็นสินค้าที่ต้องลงโฆษณาบ่อยๆ เดือนๆ หลายล้าน คนซื้อเพราะโฆษณา มันเหนื่อยที่ต้องรักษายอดไว้เพราะคนจะไม่รู้จักของของเรา แต่พอทำคลินิกไปสักระยะหนึ่ง ลงโฆษณา ทำประชาสัมพันธ์ แล้วมันก็อยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ทำทุกตำแหน่ง พนักงานในออฟฟิศมีแค่ 3 คน สเกลใหญ่มาก มีคอลเซ็นเตอร์ ศูนย์กลางกระจายสินค้า”

เหตุผลที่ชัยในวันนั้นเลือกสู้และก้าวต่อไปเพราะเขาเองรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เป็น และบริหารงานในสเกลที่ต่าง รวมถึงหัวใจการบริหารที่ไม่ใช่แค่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง “เราทำตรงนี้ได้เพราะเราอยากทำธุรกิจด้วยการจัดการที่เล็กที่สุด บริหารง่ายที่สุด อยากให้องค์กรเล็กๆ จับงานชิ้นใหญ่ แรกสุดเขียนเช็คไม่เป็น ต้องโทรถามแม่ ภาษีก็ถามพ่อ ทำเองแทบทุกอย่าง สต๊อก การตลาด จัดซื้อ เหลือแค่พนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่เราทำเองไม่ได้ ภายใต้คอลเซ็นเตอร์มีหลากหลายแบรนด์มากที่ต้องทำ แต่แล้วแบรนด์เราเป็นอันดับต้นในนั้นที่ทำยอดขายสูงสุดติดต่อกันมาเป็นปี

ผมมองว่าตอนนั้นทุกอย่างลงตัว มันมาได้เพราะเราใช้เงินลงทุนกับโฆษณา เพราะคนไม่ได้ภักดีต่อแบรนด์เหมือนแบรนด์ดัง แต่ก็ผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยดี พอเราเหนื่อยที่วิ่งตลอดเวลา เห็นคนอื่นทำอย่างอื่นไม่เหนื่อยมาก เราสามารถมาอยู่ในจุดที่บริหาร จับคนมาวางตำแหน่งต่างๆ จัดระบบองค์กรและรันไปตามแผนที่วางไว้ ไม่เหนื่อยทำ แต่เหนื่อยคุม ก็เลยจะเริ่มมาทำธุรกิจใหม่แทน

ที่ผ่านมาคนภายใต้จะทำงานอะไรก็แล้วแต่ เราดูแล้วไม่โอเค เราทำแทนเองหมด ต้องการให้ออกมาดี อย่างตอนเรียนเพื่อนทำรายงานอะไรมาไม่ดีทิ้งหมดเลยนะ เราทำเองใหม่ เพราะความไม่เชื่อมั่น เลยติดนิสัยมาว่าทำเองให้ดีที่สุดเลยเหนื่อยมาก (หัวเราะ) แต่ก็สนุกมาก เป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่าการที่เรามีแต่ละฝ่าย ทำงานอะไรบ้างให้มีประสิทธิภาพยังไง ก็เลยเริ่มทำคลินิกได้ 3 ปีมาแล้วครับ ดูแลความสวยความงามครบวงจร มีสาขาตรงเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ปิ่นเกล้า และย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง ลูกค้ามีทุกกลุ่ม ดารา วัยรุ่น คนรักความสวยความงาม ถึงตอนนี้งานของเรา เราเอาคนที่มีประสบการณ์มาถ่ายทอด เราต้องยอมที่จะไว้ใจคนอื่นได้แล้ว ช่วงนี้ก็เลยปล่อยแล้ว บริหารให้ดีก็พอ”

“เราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว เราเป็นอย่างไรบ้าง และเราแตกต่างอย่างไร” ผมถามและเขาตอบอย่างใจเย็น

“เรายังบอกไม่ได้หรอกว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เราพอใจกับจุดตรงนี้ เราพอเพียง ไม่อู้ฟู่ แค่นี้เราพอแล้ว เลยรู้สึกว่าชีวิตถูกเติมเต็มไประดับหนึ่ง ไม่ต้องไขว่คว้าอะไรมาก เวลาว่าง หรือมีตามอัตภาพก็ทำบุญสร้างวัด ทำบุญโรงศพ งานช่วยเหลือด้านทรัพย์ต่างๆ

สำหรับครอบครัว พี่น้องก็ดูแลตัวเอง แต่พ่อแม่ร่วมกัน อย่างเราส่งเงินให้ท่าน ส่งไปเท่าไรท่านก็ส่งกลับ หรือไม่ท่านก็ไปซื้อสลากออมสินเก็บไว้ให้ หรือไปลงทุนอย่างอื่น หลังๆ ต้องมัดมือชกครับ ซื้อรถให้ ซื้อของให้ และต้องซื้อเงินสดด้วยนะ เพราะเขากลัวเราลำบากผ่อนดาวน์ หรือแม้แต่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ ท่านก็ไม่ยอม กลัวเปลือง เลยต้องล็อกตัว ซื้อไว้รอเลยแล้วค่อยบอกถึงจะยอมไป

ส่วนเพื่อนผู้ร่วมงาน ภายใต้ความดูแล 50 คน ผมก็ดูแลพนักงานของเราเสมือนครอบครัว ให้เขาด้วยความรัก ให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกับเรา เขาจะรู้ว่าเขาทำอะไร ถ้าเขาคิดว่าเป็นแค่พนักงาน เขาก็จะแค่ทำตามหน้าที่ มีการจัดเลี้ยงสังสรรค์กันบ้าง ส่วนใหญ่พวกเขาจะทำงานกับเราเต็มเวลา เวียนกันไปแต่ละสาขา

ฟังๆ ดูเหมือนจะแข่งขัน แต่ถามว่าขยันไหม ไม่นะ แต่เรามีโอกาส เราก็เต็มที่ ใจจริงไม่ใช่คนที่ต้องการอะไรมากมายอยู่แล้ว วันหนึ่งเราอาจจะทิ้งทุกอย่าง จริงๆ นะ ผมสันโดษ ง่ายๆ สบายๆ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นเพราะทุกคนรักเรา เพราะเราตอบแทนเขาดี ไม่ได้ตามสเต็ปเป๊ะๆ เราดี เขาก็ดี เรามองว่าเขาต้องมีรายได้ที่ดีด้วย ไม่ต้องรอเราดีอย่างดี เราอยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น เร็วๆ นี้หลายคนเพิ่งซื้อสมาร์ตโฟนกันใหญ่ ทั้งที่เพิ่งทำงานแป๊บเดียว เราเห็นเขาดีขึ้น เราก็ดีใจ

ทั้งหมดต้องให้เครดิตเลยว่าที่ได้ทุกวันนี้เพราะพ่อแม่นะ เขาไม่ได้สอนผมให้ทำธุรกิจ หรือไปลุยๆ แต่สอนให้เราเป็นคนดี วันที่ทำธุรกิจ ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง แต่ทำแล้วทุกคนก็มองว่าเจอคู่แข่งต่างๆ นานา แต่ส่วนตัวผมทำงานแล้วไม่เคยสนใจใคร เราแข่งกับตัวเอง ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างสักเท่าไร ตั้งแต่สมัยทำเครื่องสำอาง เราเป็นที่ 1 ของโลคัลแบรนด์ และที่ 1 ของคอลเซ็นเตอร์ ตัวแทนหลายแห่งเขาพูดกัน ตอนนั้นทำให้เราคิดได้ว่า ทำไมเราต้องมองคนอื่น ถ้าเรามองที่ 2 ที่ 3 ทำให้เราต้องลดตัวเองลงไปเพื่ออะไร

ณ วันนั้นเราเป็นตรงนั้นแล้ว เลยรู้ว่าแข่งกับตัวเองก็พอ ใครจะว่าอะไรเรา เราเฉยๆ ผมว่า ถ้าเราทำดี สิ่งดีๆ จะตามมา และสิ่งดีๆ เหล่านี้จะปกป้องเราเอง จริงๆ

ทุกวันนี้ที่ยังโสด และการทำงานทำให้ไลฟ์สไตล์เราแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น เพราะเราไม่อยากเหมือนเพื่อน เมื่อก่อนเพื่อนรอ เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เราเลยอยู่คนเดียว เราไม่ได้เดินห้างหรือไปสวนจตุจักร เจอเพื่อนแค่งานวันเกิด กลุ่มที่คบจริงๆ ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มทำธุรกิจขนาดย่อย ผู้ใหญ่ และที่ปรึกษาต่างๆ

ถ้าจะบอกว่าวันนี้จะมีใคร คนที่คบกับเราได้คงเป็นแค่คนดี จริงใจ ไม่โกหก คุยแล้วใช่ คลิก เราเป็นคนเปิดใจถ้าใช่ เพราะเราไม่อยากเสียเวลา เคยเปิดโอกาสแล้วเขาไม่ใช่ ตัวเขาจะเสียใจ ในวันที่ไปบอกเขาว่าไม่ใช่ ไม่อยากให้ความหวังใครจริงๆ ครับ”

ตัวตนที่ไม่เหมือนคนอื่น

เกิดและโตที่ระยอง ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน พ่อแม่ดำเนินธุรกิจส่วนตัว เป็นตัวแทนขายสีพ่นรถยนต์ เขามีพี่น้อง 6 คน ชัยเป็นลูกชายคนที่ 5 ในบรรดาผู้ชาย 5 ผู้หญิง 1

เรียนไม่ทันจบมัธยมปลาย ก็ย้ายจากระยองเข้าโรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย กรุงเทพฯ เพราะแม่กังวลด้านการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้พี่น้องทั้งหมดจะเรียนดี เอนทรานซ์ติด แถมได้เกียรตินิยม แต่เขาบอกกับพ่อแม่ว่า ค่อยรอดูกันหลังเรียนจบ

ในอดีต ตื่น 7 โมงเช้า กลับบ้านเที่ยงคืน นอนตี 1 แล้วก็วนกลับมาตื่น 7 โมงอีก แบบนี้ซ้ำๆ เป็นปีๆ กระทั่งจังหวะของงานและโอกาสในการลงทุน และใจที่กล้าลุยของเขาพาไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการที่ตื่น 9 โมงเช้า ชิล...ชิล ได้

เขาบอกว่าเป็นคนง่ายมาก กินข้างถนนก็ได้ ในที่หรูก็ได้ ชีวิตอยากท่องเที่ยวและเปลี่ยนสถานที่กิน เที่ยว พักผ่อน ไปเรื่อยๆ เป็นคนใจดี แถมยังใจเย็น ถ้าใครโดนว่าหรือดุ คนนั้นต้องแย่มากๆ

ตารางชีวิตเกือบจะเหมือนกันทุกวัน ตื่นสายหน่อย 9 โมง ทำอะไรกิน นั่งดูทีวี อัพเดตข่าวสารบ้านเมือง ดูโน่นดูนี่ แล้วต่อด้วยออกกำลังกายในยิมของคอนโดย่านเจริญนคร จากนั้นอาบน้ำแต่งตัว บ่ายๆ ไปออฟฟิศที่งามวงศ์วาน จัดการงานตามระบบ

ที่เล่นฟิตเนสไม่ได้เล่นเอากล้าม เล่นให้สุขภาพดี ให้กล้ามเนื้อและน้ำหนักอยู่ตัว ดูหนังบ้าง เรื่องดื่มก็น้อยมาก ดื่มน้ำเปล่า โกงเพื่อนตลอด เนื่องจากกินตามที่บ้าน แม่กินอะไร พ่อกับพี่น้องในบ้านก็กินอันนั้นด้วย ผัก ปลา อาหารสุขภาพ ชอบอยู่แล้ว ก็เลยติดตัวมา วินัยเรื่องการกินดื่มจึงได้รับการปูทางไว้ดีแล้วจากแม่

ในเวลาอันใกล้นี้เขากำลังจะเริ่ม