posttoday

ทำอะไร...ทำให้สุด ‘นิธิศ วารายานนท์’

22 พฤศจิกายน 2555

แม้ว่าในวันนี้จะมีฐานะนักแสดง นายแบบ และตำแหน่ง “สุดยอดหนุ่มโสดคลีโอ 2012” การันตี

แม้ว่าในวันนี้จะมีฐานะนักแสดง นายแบบ และตำแหน่ง “สุดยอดหนุ่มโสดคลีโอ 2012” การันตี แต่อันที่จริงเขามองเห็นตัวเองว่าเป็นนักดนตรีเสมอมา

โดย...ณัฐพล ช่วงประยูร / ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

“โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์” ชื่อเสียงเกรียวกราวกว้างขวางขึ้นตั้งแต่โฆษณาน้ำดำยี่ห้อดังได้ตัวเขามาเป็นพรีเซนเตอร์ประดับแทบทุกสี่แยกในกรุงเทพฯ กระทั่งผลงานภาพยนตร์และงานละครก็เอ็ดอึงไม่แพ้กัน รวมถึงตำแหน่งสูงสุดบนเวทีนิตยสารคลีโอเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตัวเขาเองสุดขีด แต่ไม่เกินการคาดหมายของผู้ติดตามแต่อย่างใด

แม้กระนั้น โบ๊ท นิธิศ หนุ่มผมยาว มาดติสต์ วัย 25 ไม่เคยหลุดจากจุดยืนที่วาดฝันตัวเองไว้ตั้งแต่เรียนมัธยม ว่าเขาคือ ศิลปิน ในสาขานักดนตรี ซึ่งปัจจุบันสถานะที่บ่งบอกตัวตน รสนิยม และสไตล์ได้ตรงใจที่สุดคือการเป็นมือเบสของวง “เดอะ เยอร์ส” แห่งค่ายอินดี้สุดโต่ง สมอลรูม

“ผมมองเห็นตัวเองเฉพาะแต่ภาพการเป็นนักดนตรี เป็นศิลปินแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นดาราหรือนายแบบ เราก็เชื่ออย่างนั้น ตอนเรียนจบนิเทศน์ศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ไปทำงานประจำ ตอนนั้นต้องแต่งตัวเนี้ยบ แต่เราก็เนี้ยบเท่าที่เนี้ยบได้ เพราะที่สุดคนอื่นก็ยังบอกว่า ‘นี่จะไปเล่นดนตรีที่ไหนเหรอ’ ผมว่าตัวตนมันเอาออกไปไม่ได้ และมันก็คงเป็นอย่างนี้แหละ” เขาบ่งชี้ชัดเจน

โบ๊ทเป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน พี่ชายห่างกัน 10 ปี ครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ป้า พี่ชาย และตัวเขา ด้วยความที่อยู่กันหลายคนในบ้านและไม่มีพื้นที่ส่วนตัว เขาจึงมักแสวงหามุมสงบและสนุกกับโลกส่วนตัวเสมอ

“เมื่อก่อนบ้านไม่ใหญ่มาก คนอยู่เยอะ 5 คน มี 3 ห้องนอน ผมก็ไม่มีห้องส่วนตัว เด็กๆ เลยไปสร้างห้องใต้โต๊ะกินข้าว มีของเล่น โคมไฟ เอาไปยัดไว้ คือ ต้องการอิสระสูง แต่ไม่มีสปอยล์ ไม่ใช่อยากได้อะไรก็ได้ แต่ที่ผมรับเต็มๆ คือ อิสระ จะไปเล่นไหน ไปกับใคร ก็ได้เต็มที่ ผมมีหลายกลุ่มมาก จากดีสุดไปถึงเลวสุด

ตัวตนของผม ถ้าพูดจริงๆ ผมเป็นคนมีคุณธรรมพอสมควร แน่นอน...ผมจะไม่โกงใคร ไม่ทำร้ายจิตใจใคร ถ้าดูจากภายนอก อืม...อาจไม่น่าเชื่อ คนมองลุคแล้วคงคิดว่าอาจดูเลวร้ายพอสมควร เหมือนดูเก๊กๆ ตลอด มันมีที่มาว่าเด็กๆ ผมดูหนังฮ่องกงตลอด พวกเจ้าพ่อมาเฟียดูแล้วก็ติดเอามาเล่น ทำว่าตัวเองเป็นพี่เฉิงห่าวหนาน เพื่อนคุยด้วยเราก็เล่นบทนั้น ฉันอย่างนั้น...อย่างนี้ตลอด เพื่อนๆ ค่อนข้างชอบ เหมือนเป็นมุขตลก แอ็กชันนิ่งๆ เล่นไปเล่นมาจนแยกออกมาจากตัวไม่ได้ เลยเป็นแนวนี้ครับ” (ฮา)

ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไรว่าคนมีมาดอย่างโบ๊ทจะไม่เคยหลุดโก๊ะ หรือเขินใครไม่เป็น และเขาก็สารภาพความจริงโดยดี

“มันเกิดขึ้นตลอดทุกที่ แต่ว่าผมอาจจะใช้การวางตัวทำลายโอกาสพวกนั้น สมมติผมมาที่แห่งหนึ่ง ต้องทำอะไรอย่างหนึ่ง แต่รู้สึกว่า...เด๋อแน่เรา ก็จะหาทางทำให้มันแตกต่าง ไม่ว่าจะคำพูด แต่งตัว หรือการวางตัว จะเซตไว้ก่อน ถ้าทำแบบคนปกติทั่วไปมันเด๋อแน่ๆ เหมือนการประกวดร้องเพลง ร้องก็เป็นแพตเทิร์นเดียวกัน ไปก็เด๋อ ต้องหาแนวที่มันแปลก แต่สุดท้ายแผนที่เซตไว้หลุดประจำ” (ฮา)

“คนอื่นๆ มองว่าเราเป็นไง” ผมซักไซ้ และ ผจก.ของเขาบอกว่าเพี้ยนพอๆ กับเป้ เสลอ (พาดพิงด้วย)

“ผมว่าดูข้างนอกไม่น่ารู้” โบ๊ทเปิดปาก “คนส่วนใหญ่ชอบที่เรามีมุข มีมาด มีอะไรแบบนี้ แต่เราก็สนุกสนาน ก่อนเข้าสมอลรูม ผมเคยทำงานเป็นผู้ช่วยอินทีเรียและเอเยนซีคอนโดมิเนียม พอเจอสังคมชีวิตจริง เหมือนเป็นแพตเทิร์นพอสมควร คือไม่ใช่คนไม่ดี แต่มันจะเป็นแนว ผู้หญิงและชายหวานๆ วันๆ เขาจะคุยกันเรื่องความสวยความงาม เรื่องละคร ผมอาจจะไม่ค่อยถนัดเท่าไร ตัวเราอยากไปเล่นดนตรี อยากไปฟังเพลงร้านโน้นร้านนี้มากกว่า จนวันหนึ่งมาที่สมอลรูม ทุกอย่างคลิกหมดเลย เจอเพื่อนตลก เล่นมุข เราอยู่แล้วไม่แปลก มีความสุขมาก เหมือนมีบ้านใหม่ ครอบครัวใหม่ จริงๆ คนจะรู้กันว่าพวกนามสกุลสมอลรูมเป็นไง

ทำอะไร...ทำให้สุด ‘นิธิศ วารายานนท์’

 

ย้อนกลับไปถึงจุดกำเนิดของการเล่นดนตรีเมื่อสมัย ม.ปลาย จนนำทางเขาให้สนิทกับเพื่อนรักในวงหลายคน และกลมเกลียวจนกลายเป็นวงดนตรี เดอะ เยอร์ส ในเบื้องปลายวันนี้

“ตั้งแต่ ม.4 เล่นดนตรี เราต้องเล่นให้ได้ ต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้ ผมดูคอนเสิร์ตต่างประเทศบ่อย เป็นคนชอบจินตนาการว่าตัวเองไปอยู่ตรงนั้น อยากไปเล่นแบบนั้น เท่แบบนั้น ความเป็นไอดอลด้านภาพลักษณ์เลย ผมชอบเซอร์จิโอ ปิซซอร์โน มือกีตาร์ วงคาซาเบียน และจอห์น ฟรัสเซียนเต แห่งวง เรด ฮอท ชิลลี เปเปอร์ส แต่ถ้าเป็นกลุ่มไลน์กีตาร์เบสที่ชอบ คือ วงอินเตอร์โพลม, คิงส์ ออฟ ลีออน, เดอะ คิลเลอร์ แต่กลุ่มดนตรีร็อกเก่ากว่านั้นก็มาตามฟังทีหลัง แต่กลุ่มที่ว่ามาผมโตมาพร้อมกับเพลงเขา

จนวันนี้ปีกว่าแล้วที่มี “เดอะ เยอร์ส” คนเห็นภาพภายนอกจะรู้เลยว่า ทุกคนเสื้อผ้าสีดำเท่านั้น เพราะเนื้อเพลง โทนดนตรีของเราไม่ได้พูดเรื่องความสมหวัง แต่พูดเรื่องความผิดหวัง และเรื่องเสียใจ ประกอบกับการเล่นดนตรีเป็นแนว โพสต์ พังก์ รีไววัล ปี 2000 ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงและเราเสพแบบนั้นมา จึงเลือกแนวทางจากหลายๆ วงมาปรับเป็นของเรา

ตัวตนจริงๆ กับการมาทำงานวงการแบบนี้ ทั้งเดินแบบ เล่นหนัง ขึ้นเวทีคลีโอ หรือ โฆษณา โชคดีที่ผมมี สมอลรูม ครับ เขาเชื่อว่าผมเป็นผม ถ้าผมไปอยู่ที่อื่น ผมอาจจะดูดัดแปลงไปอีกแบบหนึ่ง แต่ลึกๆ ผมเองก็ไม่อยากจะเปลี่ยนอะไรอยู่แล้ว ที่นี่ดันทำได้ ในเมื่อผมเป็นวงดนตรี และถ้าใครต้องการผมไปเล่นหนัง หรือต้องการไปถ่ายโน่นถ่ายนี่ สมอลรูมก็บอกเขาว่า เขาเป็นแบบนี้นะ ถ้าเอาเขาไปเขาก็เป็นแบบนี้แหละ

แรกๆ ดื้อมาก...อย่ามาเปลี่ยนฉัน ฉันทำไม่ได้ เจอเรื่องแรก (30 กำลังแจ๋ว) ไปเท่านั้นแหละ...ละลายพฤติกรรมได้เยอะ พอเรียนรู้กับมัน เริ่มเข้าใจขึ้น เลยรู้สึกว่า เราน่าจะใช้อาชีพนี้ซัพพอร์ตห่างๆ ไว้ได้ แต่ว่าผมจะไม่รับบทเด่น หรือรับบทเยอะ ไม่อยากให้เป็นภาพดารา”

นอกจากนี้ ถ้าจะมีเรื่องในวงการที่เขาคิดว่าทำได้ดีหากมีโอกาส คงเป็นการพากย์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว และเป็นความสนใจสมัยเลือกเรียนภาพยนตร์ และทุกวันนี้เขายังคงก้าวต่อไปในหนทางที่ชัดเจนแห่งตัวตน ตราบเท่าที่มันไม่ยื้อแย่งเวลาของอาชีพนักดนตรี

“ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะควบคุมได้ทุกอย่าง แต่เราคิดผิด ในเมื่อเราทำไม่ได้ ก็ปล่อยไหลไปดีกว่า โดยที่ยังมีสมอลรูมหรือเพื่อนๆ ในวงคอยช่วยดู ส่วนที่บ้านเขาให้อิสระ ให้เยอะ เลยไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้ ขอให้เลี้ยงเขาได้ แต่ที่เขาอาจจะเป็นห่วงอยู่บ้างคือ บอกว่า อย่าไปรีบมีเลยนะ ระวังไว้เรื่องผู้หญิง ถ้าไม่พร้อมมันก็เป็นปัญหา ผมก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ผมอยากให้คนที่เราดูแลมีความสุข ฉะนั้นเราต้องพร้อมที่สุด อีกอย่างผมเองก็อ่อนแอเรื่องความรักด้วย

ตอนที่เข้ามาถึงรอบหนุ่มโสดคลีโอ ผมก็ตลกใส่ งงว่าต้องมานั่งบนอัฒจันทร์ เรารู้สึกว่าเราไม่เข้าพวกเลย คนอื่นเขา ขาว ตี๋ โปรไฟล์ดี ผมมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย เราคงไม่ได้หรอก ขนาดว่าผมจะปีนหนีออกไป แต่ไปเจอผู้จัดการก็ยึดกุญแจรถผมไป แต่สุดท้ายงงมาก เราไม่คิดว่าเราจะได้อะ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่จะช่วยโหวตให้ แฟนเพลง และแฟนคลับ ที่เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้เขาชอบได้ขนาดนั้น แต่สิ่งที่ดีใจมากเลยคือ เป็นแนวร็อกคนเดียว แต่ดันมาได้

ไม่ว่ามันจะเป็นไง พอผมมองกลับไปก็เห็นว่า ทำอะไรทำให้สุด จะเท่ก็ให้สุด เรียนให้สุด มันก็มีทางของมัน ผมเคยเชื่อว่า ภาพของผมก็คือสะพายกีตาร์เบส มันก็ดันส่งผลจริงๆ ผมจะเป็นคนแบบนี้ ผมก็ได้เป็น ถ้าไม่นับดวง คนรอบข้างสำคัญมาก ไม่มีทางมาเองได้แน่ๆ”

แกดเจ็ตของ “โบ๊ทมือเบส”

อันที่จริงผมใช้แกดเจ็ตน้อยมาก การที่จะเล่นของพวกนี้ เรารู้สึกว่ามันสิ้นเปลือง โทรศัพท์แชตกันได้พอแล้ว มารู้ตอนหลังว่าแอพพลิเคชันที่ซัพพอร์ตเพลงและดนตรีมีเยอะ ส่วนใหญ่ถ้าอะไรซัพพอร์ตดนตรีผมจะเทให้หมด

แมคบุ๊กโปรและเมาส์ – “อยากทำเพลงในอัลบั้มช่วยเพื่อน เลยซื้อมาหัดทำเพลง แต่ทุกวันนี้ยังไม่ได้สักเพลง งานดันเปรี้ยงเข้ามาเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็ใช้ฟังเพลง”

เบส กิฟสัน ทันเดอร์ เบิร์ด –เท่มาก...ขอเน้น เพราะใฝ่ฝันถึงรุ่นนี้ คิงส์ ออฟ ลีออน ใช้ แล้วชอบดีไซน์ที่มันเฉี่ยวเด้งกว่าคนอื่นเขา เรื่องซาวด์ อาจจะไม่ได้ครอบคลุมเท่ากับตัวอื่นๆ ได้มาจากฮ่องกง ดีใจมาก หิ้วกลับมาผู้ใหญ่ที่ให้ยืมเงินซื้อ บอกผมว่า “ไม่อยากให้เป็นแค่ของเล่น อยากให้มันทำให้เราไปได้ไกล ในเมื่อได้ดาบดีแล้ว...ก็รบให้ชนะ” สุดท้ายเราพาเบสตัวนี้ออกมาถึงทุกวันนี้ได้

ไอโฟน 4 เอส – ท้ายที่สุดแล้วเราเหมือนมี 2 แขน คือ ไลน์ กับ อินสตาแกรม และมีหัวเป็นเฟซบุ๊ก แอพฯ อื่นๆ ไม่มีอะไร

ทัมบ์ไดรฟ์ – เพื่อนคนหนึ่ง ลืมไว้ที่ผม ไม่มาเอาสักที เลยเอามาใช้งานเอง เหมือนขโมยเขามา (ฮา)

หูฟัง – สำคัญมาก เพราะลำโพงทั่วไปบางทีเบสมันไม่ได้คมพอจะแกะเพลงออกมาได้ครบทุกเม็ด ต้องยัดเข้าไปในหู และหาหูฟังเบสดีๆ แกะออกมา ผมเป็นคนไม่รู้สเกล ก็เลยต้องฟังเสียงที่ดีมากพอ