posttoday

ความสดใสของหนุ่มน้อย ‘พงษ์ปิติ ผาสุขยืด’

25 ตุลาคม 2555

เมื่อปีที่แล้วเขาคือ “น้องชายของคนทั้งประเทศ” ฉายาที่ได้มาพร้อมรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เวทีเคพีเอ็น อะวอร์ด ครั้งที่ 21

โดย...ณัฐพล ช่วงประยูร

เมื่อปีที่แล้วเขาคือ “น้องชายของคนทั้งประเทศ” ฉายาที่ได้มาพร้อมรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เวทีเคพีเอ็น อะวอร์ด ครั้งที่ 21

“พงษ์ปิติ ผาสุขยืด” หรือ “เพิท” ในวันนั้นเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายที่คว้ารางวัลจากเวทีอันทรงเกียรตินี้ ปัจจุบันเขาศึกษาอยู่ภาควิชาบริหาร สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสนุกสนานกับชีวิตอุดมศึกษาไปพร้อมกับยังคงรักษาหัวใจรักดนตรีไม่เปลี่ยนแปลง

“เพิท ภาษาอังกฤษแปลว่า สดใส ร่าเริงครับ” เขาตอบคำถามเรื่องความหมาย ซึ่งผมว่าตัวตนจริงๆ เขาก็เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่พบหน้าคราแรก เขายิ้มแย้มแจ่มใส ตอบคำถามฉะฉานด้วยเสียงที่ทุ้มนุ่มประสาหนุ่มเฟรชชี

“ผมเลือกเรียนที่นี่เพราะเป็นเด็กเก่าสาธิตฯ เกษตร เรียนต่อเนื่องมาตั้งแต่เล็ก จนท้ายสุดก็มีโควตาคณะบริหาร แม้ว่าใจจริงจะอยากเรียนนิเทศน์ศาสตร์ แต่ก็เอาชัวร์ไว้ก่อน พอเข้ามาเรียนจริงๆ แล้วทำให้ทราบว่าชีวิตมหาวิทยาลัยต้องดูแลตัวเองเยอะขึ้น อยู่ที่ตัวเองว่าจะเรียนหรือเปล่า ทุกคนอาจจะคุยกันเล่นกันกับเพื่อนๆ ไปเรื่อยเหมือนตอนเด็กๆ แต่ต้องยอมรับว่าแต่ละวิชาต้องปรับตัว มันยากกว่าตอนมัธยมเยอะ แต่ผมจะเป็นลักษณะเน้นกิจกรรมมาแต่ไหนแต่ไร เรียนได้โอเค แต่ขอทำกิจกรรมเยอะๆ ดีกว่าครับ” เพิท หนุ่มเฟรชชี เจ้าของตำแหน่งขวัญใจองค์การบริหารกิจการนิสิตประจำปีล่าสุด เล่าอย่างลื่นไหล

เพิท มีพี่ชายห่างกันเกือบ 8 ปี แม้จะอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่ค่อยได้เจอ เพราะเขาทำงานค่อนข้างดึก พี่ชายเองก็เคยผ่านเวทีเคพีเอ็นมาก่อน ราวๆ 12 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเขาเองก็อยู่ในวงการดนตรี เป็นนักร้องนำวงร็อก ชื่อ โอเวอร์ มี และเคยร้องเพลงประกอบการ์ตูนชินจัง เวอร์ชันภาษาไทย แม้หน้าตาไม่ได้เหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าบ้านนี้มีความสามารถกันทั้งพี่น้อง

ความสดใสของหนุ่มน้อย ‘พงษ์ปิติ ผาสุขยืด’

 

“ผมอยู่กับบ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ย่านลาดพร้าว อยู่ยาวมานับตั้งแต่เกิด ธรรมชาติคุณแม่เป็นคนจีนจะเสียงดัง ก็ค่อนข้างดุ แต่ถ้าเป็นคุณพ่อดุจะออกแนวโหดหน่อย ท่านสองคนไปเจอกันที่อเมริกา พี่ผมเกิดที่นั่น แล้วก็กลับมามีเพิทที่กรุงเทพฯ

คุณพ่อคุณแม่จะสอนเสมอว่าให้ทำในสิ่งที่เรารักชอบ เป็นคนดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือคนอื่น ท่านพาผมไปปฏิบัติธรรมตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมได้บวชเณรแล้ว 3 ครั้ง ครั้งละ 1 เดือน ที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา ตอนเด็กๆ อาจจะรู้สึกน่าเบื่อ แต่เราก็เริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อศึกษามากขึ้น

ตอนแรกไปปฏิบัติธรรมง่ายๆ ก่อน ได้เห็นความสำคัญของสติ เมื่อเวลาได้ใช้จริงๆ มันจะมีประโยชน์มากครับ ยิ่งตอนประกวดยิ่งได้ใช้ เพราะผมตื่นเต้นจะบ้าตาย แต่พอคุมได้ทุกอย่างก็ผ่าน” ถ้าย้อนดูผลงานในยูทูบ จะเห็นว่าน้องชายของคนทั้งประเทศบนเวทีเคพีเอ็นปีก่อนยอดเยี่ยมแค่ไหน

“อย่างตอนไปบวช เราต้องสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น น่าเบื่อมาก ผมก็หาวิธีอยู่กับมันให้ได้ ก็คิดให้เป็นวิธีสนุกว่าทำวัตรก็เหมือนการร้องเพลง ผมชอบร้องเพลงมาก ฉะนั้นก็ทำวัตรได้ ส่วนในมุมอื่นๆ ทีเรียนรู้มา ก็นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตอีกได้ว่าเวลามีใครมาทำให้เราไม่พอใจ อันนั้นมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเราโกรธ เราไม่ควรห้ามว่าต้องไม่โกรธ แต่เราต้องรู้ว่าโกรธอยู่ และค่อยๆ ผ่อนคลายให้หายไป

ที่ผ่านมา การทำสิ่งที่เราชอบอย่างการร้องเพลง เพราะครอบครัวสนับสนุนมาก ตอนแรกที่ผมไปออดิชัน ที่บ้านยังงงอยู่เลยว่าไปได้ไง ไม่เห็นผมซ้อมเลย แต่ผมก็เต็มที่ ผมเองไม่คาดหวังว่าจะมาถึง 10 คนด้วยซ้ำ คิดว่ามาหาประสบการณ์ และรู้จักเวทีนี้เพราะพี่ชายเคยประกวด พอมันผ่าน 50 กว่าคน มาถึง 20 กว่า แล้วก็คัดเหลือ 10 มันตื่นเต้นมากเลย” เพิทตอบในขณะที่การแข่งขันปีนี้เข้มข้นไม่แพ้กัน และในศึกรอบสุดท้ายก็กำลังจะสิ้นสุดลงในต้นเดือน พ.ย.ศกนี้

“วันว่างของผมทุกวันนี้ ตอนนี้เข้าฟิตเนสบ้าง เวลาหยุดยาวๆ จะไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว หรือไปต่างจังหวัดบ้าง ส่วนเวลาที่เหลือก็อยู่กับดนตรีและการเรียนครับ ผมชอบตัดต่อวิดีโอ ตัดต่อเพลง ชอบมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ ม.ปลาย เคยมีผลงานคัฟเวอร์เพลงในยูทูบสมัยตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เยอรมนีมา ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทย ตอนนั้นโอเคมาก คนที่เขาชอบก็ชม มันเป็นช่วงเวลาว่าง กับอุปกรณ์ง่ายๆ แมคบุ๊ก หูฟังไอพอด ต้องลองเข้าไปที่ยูทูบแล้วค้นหา Pertpete ครับ

เวลาผมทำ ผมชอบคอรัสเยอะๆ ถ้าอย่างง่ายๆ ก็ทำดนตรีก่อน แล้วก็ค่อยๆ ตัดต่อออกมา ตอนนั้นไม่อยู่บ้านเป็นปี พอคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเห็นแล้วหายคิดถึง เห็นว่าทำแล้วมีความสุข ก็สนับสนุน ครอบครัวที่อยู่ด้วยเป็นเยอรมันเขาก็สนับสนุนครับ

ผมว่าถ้าไม่มีเทคโนโลยีในปัจจุบัน มันก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ยาก ถ้าเราขาดโทรศัพท์มือถือก็จะติดต่อกันยาก และคงวุ่นวายน่าดู หรือถ้าอยู่ในบ้านไม่มีไฟฟ้า คงจะทำอะไรแทบไม่ได้เลย โลกโซเชียลของเพิทเนี่ย ตอนเด็กๆ ชอบแชตกับเพื่อน ติดพวกนี้ตลอด แต่ชีวิตปัจจุบัน เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีเทคโนฯ ควบคู่ไปด้วยแน่นอน แต่ต้องอย่าลืมว่า แกดเจ็ตไม่ใช่ราคาถูกๆ ทุกคนต้องดูความเหมาะสมและจำเป็นว่าเราต้องใช้งานอะไร ขนาดไหน

ตอนที่เพิ่งเข้าเคพีเอ็นรุ่นก่อน ผมเองก็ต้องการถ่ายรูปโชว์ ต้องใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อโปรโมต ผมคิดว่าไอโฟนมันก็แพงไป เราเองก็ขอพ่อแม่ในสิ่งที่พอใช้ได้ ฉะนั้นการที่จะมีแกดเจ็ตสักชิ้น มันมีตัวเลือกเยอะเลย คุณต้องหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ และใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดนะ...ผมว่า”